Monday, December 9, 2013

20 ข้อคิดที่ได้จากการอ่าน The Last Lecture

เท้าความหนังสือเล่มนี้ มาจากโครงการที่เลือก professor ตามมหาวิทยาลัยต่างๆพูดในหัวข้อ “The Last Lecture” คือเสมือนถ้าเป็น lecture สุดท้ายของชีวิต คุณจะทิ้งอะไรไว้บนโลกใบนี้ 

Randy Pausch เป็น professor ที่สอนด้าน computer science ของมหาลัยที่มีชื่อเสียงในอเมริกา ได้รับการติดต่อให้ขึ้นพูด ไม่นานภายหลัง เขาถูกตรวจพบว่าเป็นมะเร็งตับอ่อนระยะสุดท้าย ทำให้นี่เป็น “The Last Lecture” สำหรับเขาจริงๆ 



lecture ที่เขาพูดได้ถูกนำมาต่อยอดเป็นหนังสือที่โด่งดังไปทั่วโลก ซึ่งหลังจากอ่านแล้วต้องบอกว่า จับใจ เขาได้บรรยายความรักที่มีต่อภรรยาและลูกๆได้ลึกซึ้งกินใจ ทำเอาน้ำตาไหลได้ง่ายๆ หนังสือเล่มนี้ได้ให้ข้อคิดมากมาย ซึ่งเราได้รวบรวมเอาไว้ดังนี้ค่ะ

1. “When you’re screwing up and nobody says anything to you anymore, that means they’ve have given up on you” 
การมีคนเตือน ดุด่า ว่ากล่าว คือยังมีคนที่รักและห่วงใยเราอยู่

2. “An attitude that all students should have - know what  we don’t know, perfectly willing to admit it and don’t want to leave until we understand.” 
รู้ว่าตัวเราไม่รู้อะไร ยอมรับมัน และยืนยันที่จะเรียนรู้จนเข้าใจ

3. “I  don’t believe in no-win scenario.” 
อันนี้คัดลอกมาอีกทีจากคำพูดของกัปตัน Krik ในเรื่อง Star Trek คือ เขาเชื่อว่ามีหนทางชนะอยู่ในทุกสถานการณ์

4. “ Ask yourself: Are you spending your time on the right things?”
หนึ่งในเกร็ดเล็กๆของการบริหารเวลาคือต้องถามตัวเองว่าสิ่งที่เราทำอยู่เป็นสิ่งที่ควรค่าแก่เวลาที่เสียไปหรือเปล่า ที่เด็ดไปกว่านั้นและน่าลองมาก ในหนังสือแนะนำว่าถ้าอยากจะจบบทสนทนากับคนขายของทางโทรศัพท์เร็วๆ ให้วางสายในขณะที่เราพูดอยู่ ปลายสายจะนึกว่าสัญญาณไม่ดีและโทรหาคนถัดไปในลิสต์รายชื่อ

5. “Take a time out”
อย่ารับโทรศัพท์ อ่านอีเมล หรือข้อความใดๆเกี่ยวกับเรื่องที่ทำงาน ในวันหยุดพักผ่อน อันนี้เป็นเรื่องจริงที่อยากจะบอกทุกคน ส่วนตัวที่เจอมากับตัวเองคือ การทำงานระหว่างแม้จะนิดๆหน่อยๆในวันลาหยุดจะทำให้เราไม่ได้พักอย่างแท้จริง พอเรากลับมาทำงานจะเหมือนกับยังไม่ได้พัก ประสิทธิภาพในการทำงานยิ่งลดลงไปอีก ดังนั้นสำหรับเรา หยุดคือหยุด ปล่อยวางทุกอย่าง เจ้านายโทรมาสั่งงานนี่เราจะอาฆาตมากถึงกับเก็บไปฝัน 555 (อันนี้แนะนำให้บอกจุดยืนพร้อมเหตุผลกับเพื่อนร่วมงานไว้ก่อนเนิ่นๆ)

6. “Develop a real ability to assess ourselves...welcome feedback”
ก่อนอื่นที่จะพัฒนาตัวเองได้ ปรับปรุงตัวให้ดีขึ้น เราต้องสามารถประเมินตัวเองได้ก่อนว่าดีหรือไม่ดี รวมทั้งรับคำเตือนของผู้อื่นๆ ส่วนตัวเราคิดว่า feedback เป็นสิ่งที่มีประโยชน์  แต่ประโยชน์โดยแท้จริงนั้นอยู่ที่เราเปิดรับมันแค่ไหน เราเป็นคนที่มักจะขอ feedback จากเจ้านาย เพื่อนร่วมงานเสมอ ตอนแรกไม่ค่อยได้ประโยชน์อะไรเพราะเรามองหาแต่ feedback ในด้านบวก (คำชมนั่นเอง) ปิดกั้น feedback ในด้านลบ มองว่าไม่จริงหรอก เราไม่ได้เป็นอย่างนั้น แต่ความจริงแล้วประโยชน์จริงๆที่จะช่วยให้เราพัฒนานั้นอยู่ที่ feedback ด้านลบ ซึ่งเราค้นพบว่าพอพยายามเปิดใจรับฟังแล้วมันช่วยได้มาก 

7. “Don’t complain, just  work harder” 
เอาเวลาบ่น ไปทำงานที่หนักขึ้นดีกว่า

8. “Treat the disease, not the symptom” 
แก้ปัญหาที่ต้นเหตุ ในหนังสือยกตัวอย่างแฟนเก่าของ professor ที่เป็นหนี้อยู่หลายหมื่นบาท เธอเครียดมากจึงไปเล่นโยคะทุกอังคารเย็นเพื่อลดความเครียด เขาแนะนำให้เธอใช้เวลาช่วงนั้นหางานพิเศษทำเพื่อจ่ายหนี้ ซึ่งเธอทำแล้วพบว่ามันคือวิธีการแก้ปัญหาที่แท้จริง

9. “Let everyone talk”
อย่าพูดแทรก ให้เกียรติผู้อื่น การพูดดังหรือพูดเร็วสวนขึ้นมาไม่ได้ช่วยให้ความคิดของเราดีขึ้นกว่าเดิม

10. “Instead of “I think we should do A, not B” try “What if we did A, instead of B?””
ประโยคคำถามจะเปิดรับความเห็นผู้อื่น ไม่ได้บังคับให้คนอื่นเลือกข้าง

11. “Almost everybody has a good side. Just keep waiting, it will come out”
ทุกคนมีความดีอยู่ในตัว รอ…แล้วเราจะค้นพบ 

12. “When it comes to men who are romantically interested in you, it’s really simple. Just ignore everything they say and only pay attention to what they do.”
อันนี้สำหรับผู้หญิงนะคะ วัดผู้ชายที่การกระทำ ไม่ใช่ลมปาก 555 ชอบจริงๆอันนี้

13. “Be prepared …Luck is what happens when preparation meets opportunity”
อันนี้ฟังแล้วกระตุก จงเตรียมตัว ความโชคดีจะเกิดขึ้นเมื่อการเตรียมตัวตรงกับโอกาส อยากไปต่างประเทศ ต้องฝึกภาษาอังกฤษ อยากเป็นนักบิน ฝึกเลข หาข้อมูล ถนอมสายตา เมื่อโอกาสมา คุณก็พร้อมโบยบินทันที 

14. “Experience is what you get when you didn’t get what you wanted.”
ประสบการณ์คือสิ่งที่คุณได้เมื่อคุณไม่ได้รับสิ่งที่ต้องการ แปลง่ายๆคือ เมื่อล้มเหลวนั่นเอง ดังนั้นจงอย่ากลัวการล้มเหลว มันคือประสบการณ์ที่มีค่า

15. “Always write thank-you notes”
เป็นคำแนะนำที่เจอบ่อยมาก เขียนคำขอบคุณ โดยเฉพาะด้วยลายมือ เป็นสิ่งที่บางทีอาจเปิดโอกาสดีๆในชีวิตเราได้

16. “A bad apology is worse than no apology.” 
อย่าขอโทษแบบไม่จริงใจ เช่น ขอโทษนะถ้าทำให้คุณรู้สึกไม่ดี ขอโทษนะแต่คุณก็ต้องขอโทษฉันกลับเช่นกัน การขอโทษที่ดีควรมี 3 สิ่ง
- อะไรที่เราทำผิดไป
- ขอโทษจริงๆที่ทำคุณเสียใจ
- จะทำให้ดีขึ้นได้อย่างไร

17. “Tell the truth”
การโกหกไม่ใช่กลยุทธ์ที่ดีในระยะยาว ซักวันความจริงจะต้องปรากฎ

18. “All you have to do is ask”
อันนี้เป็นความจริงที่สุด บางทีถ้าเราต้องการอะไร สิ่งที่เราต้องทำคือการขอ ในหนังสือได้ยกตัวอย่างตอนที่  professor พาลูกชายไป Disney land ลูกชายของเขาอยากขึ้นไปนั่งร่วมกับคนขับรถ monorail สิ่งที่เขาทำเพียงแค่ขอคนขับให้ลูกชายขึ้นไปนั่งด้วยเท่านั้น

19. “We should have a healthy balance between optimism and reality”
การมองโลกในแง่ดี ต้องบาลานซ์กับความจริงที่เป็นไปด้วย

ส่วนตัวอันนี้ชอบสุดๆ คิดว่าต้องปฎิบัติตามนับแต่บัดนี้เป็นต้นไป
20. “The brick walls are there for a reason...They give us a chance to show how badly we want something... and keep others who don’t out”
เหตุผลของการมีอยู่ของอุปสรรคคือ มันให้โอกาสเราแสดงว่าเราต้องการสิ่งๆนั้นมากแค่ไหน และกันคนที่ไม่ต้องการเท่าออกไป ...เรียนต่อเมืองนอก ทำงานกับบริษัทที่มีชื่อเสียง เปิดบริษัทเป็นของตัวเอง เที่ยวรอบโลก ทุกอย่างเป็นไปได้ถ้าเราพยายามมากพอ แสดงให้เห็นว่าเราต้องการมันมากแค่ไหน

No comments:

Post a Comment