Friday, March 30, 2012

9 สูตรลับชะลอวัย


ความสวยอ่อนเยาว์เป็นสิ่งที่ผู้หญิงทุกคนใฝ่ฝันถึง แต่จะมีวิธีไหนที่ทำให้ความสวยนั้นคงอยู่กับเราได้นานที่สุด ลองมาดูกัน
1. ดื่มน้ำสะอาดมาก ๆ
น้ำเปล่านอกจากจะทำให้ร่างกายสดชื่น กระปรี้กระเปร่าแล้ว ยังช่วยให้กระบวนการขับของเสียของร่างกาย ทำงานได้อย่างง่ายดาย ไม่ทำให้อ้วน น้ำจะช่วยให้ระบบทางเดินอาหารทำงานได้มีประสิทธิภาพ สร้างความชุ่มชื้นให้ผิว ช่วยการทำงานของสมอง การปล่อยให้ร่างกายขาดน้ำ แม้เพียงเล็กน้อย เป็นเวลานาน ๆ จะเพิ่มความเสี่ยงการเป็นนิ่วในไต มะเร็งในลำไส้ใหญ่และในทางเดินปัสสาวะ
2. เสียเหงื่อบ้าง
มีการวิจัยล่าสุดบอกว่า การออกกำลังกายให้อัตราการเต้นของหัวใจเพิ่มขึ้นจนเหงื่อออก จะช่วยเสริมสร้างความอ่อนเยาว์ได้วิเศษที่สุด ถ้าคุณออกกำลังกายจนหัวใจเต้นในอัตรา 80 เปอร์เซ็นต์ของอัตราการเต้นสูงสุดของวัย (ซึ่งคำนวณโดยใช้ 220 ตั้ง ลบด้วยอายุ แต่ถ้าคุณออกกำลังกายในสภาพแวดล้อมที่ค่อนข้างเย็น ก็ไม่ต้องใช้เครื่องวัดอะไร เพราะจะรู้ได้ทันทีที่เหงื่อไหลหยด) จะทำให้เส้นเลือดของคุณมีความยืดหยุ่น เพราะได้ขยายตัวอยู่บ่อย ๆ ช่วยลดความดันโลหิตในที่สุด
3. นวดผ่อนคลาย
ความเครียดเป็นหนึ่งในตัวการทำลายสุขภาพและความอ่อนเยาว์ที่สำคัญที่สุด การจัดการความเครียดยังนับว่ายากเป็นอันดับต้น ๆ การนวดแบบธรรมดา ๆ ก็ลดระดับฮอร์โมนคอร์ติซอลที่ก่อความเครียดได้แล้ว และการนวดยังช่วยกระตุ้นการปลดปล่อยสารแก้ปวดตามธรรมชาติที่เรียกว่าโอปิออยด์สในสมองด้วย และยังเร่งการไหลเวียนของอ็อกซีโทซิน ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อ และกระตุ้นความรู้สึกสงบและพึงพอใจด้วย
4. ลดน้ำตาล
รู้ไหมว่าเมื่อกลูโคสเข้าสู่กระแสเลือด โปรตีนตัวที่มันมุ่งหน้าไปหาก่อนอย่างอื่น (และจะทำลายมากที่สุด) ก็คือคอลลาเจนและอิลาสติน ซึ่งเข้าใจกันว่ามีส่วนช่วยรักษาความยืดหยุ่นของผิวหนัง ลองกินผลไม้แทนของหวานจะดีกว่าเพราะให้ทั้งความหวาน ใยอาหารและดีต่อสุขภาพด้วย


5. กินผักให้มากขึ้น
ผักเป็นแหล่งแคลเซียมที่ป้องกันโรคกระดูกพรุนได้มีประสิทธิภาพยิ่งกว่าแคลเซียมจากสัตว์ อย่างนม เนยแข็ง และโยเกิร์ต แม้นมจะอุดมแคลเซียม แต่เอ็นไซม์ชื่อฟอสเฟเตส ซึ่งช่วยดูดซึมแคลเซียม และมีอยู่ในนมที่รีดมาสด ๆ จากแม่วัวนั้น จะถูกทำลายไประหว่างกระบวนการพาสเจอไรซ์ ผู้เชี่ยวชาญประเมินว่า เราดูดซึมแคลเซียมจากนมได้เพียงราว 32 เปอร์เซ็นต์ แต่ได้ถึง 50 เปอร์เซ็นต์ถ้าเป็นแคลเซียมจากผักใบเขียว ลองกินผักชนิดที่มีใบสีเขียวเข้มให้ได้สัปดาห์ละ 5 มื้อ โดยเฉพาะพวกบร็อคโคลี่ คะน้า หรือผักบุ้ง เพราะผักเป็นทั้งแหล่งแคลเซียมชั้นดี ให้ใยอาหาร ต่อต้านมะเร็ง และอุดมด้วยสารอาหารต่าง ๆ มากมาย
6. หลับเพื่อความงาม
การหลับไม่เพียงพอทำให้ร่างกายยิ่งเสื่อมโทรม เพื่อให้ร่างกายมีโอกาสฟื้นฟูและซ่อมแซมตัวเอง ลองเข้านอนและตื่นให้เป็นเวลา งดการงีบหลับนอกเวลา ออกกำลังกายเป็นประจำ ดูแลให้เตียงนอนได้สบาย ห้องนอนมีแสงและเสียงรบกวนน้อยที่สุด ก่อนนอนก็ควรทำกิจกรรมที่ช่วยให้ผ่อนคลาย อย่างฟังดนตรี อ่านหนังสือ ดื่มนมอุ่น ๆ หรืออาบน้ำอุ่น
7. อย่านำผลไม้แช่เย็น
เก็บผลไม้ไว้ในอุณหภูมิห้องจะช่วยเพิ่มสารต่าง ๆ ที่เสริมสุขภาพทำงาน ผลไม้สีแดง อย่างมะเขือเทศ แตงโม ฝรั่งแดง และเกรฟฟรุตสีแดงหรือชมพู ที่เก็บในอุณหภูมิห้องจะมีเบต้าแคโรทีน (ซึ่งร่างกายจะเปลี่ยนเป็นวิตามินเอ ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ) มากกว่าผลไม้แช่เย็นถึงสองเท่า อุณหภูมิปกติยังเพิ่มไลโปซีน (สารต้านอนุมูลอิสระที่ดีอีกตัว) ในผลไม้ได้ถึง 20 เท่า
8. คิดบวก
คนที่มองโลกในแง่ดีมีอายุเฉลี่ยยืนยาวกว่าคนมองโลกในแง่ร้าย ผลการวิจัยของเนเธอร์แลนด์พบว่าคนที่มองอนาคตและความสัมพันธ์ในแง่บวกจะลดอัตราการเสี่ยงเป็นโรคหัวใจได้ 23 เปอร์เซ็นต์ และลดอัตราการตายก่อนวัยอันควรจากสาเหตุอื่น ๆ ได้ 55 เปอร์เซ็นต์ แล้วก้อย่าลืมหัวเราะในทุก ๆ วัน การหัวเราะเป็นเหมือนยาคลายเครียด มันช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน
9. งดแอลกอฮอล์และหยุดสูบบุหรี่
ทั้งสองสิ่งนี้นอกจากจะมีอันตรายกับอวัยวะของร่างกายแล้ว ยังทำลายสารต้านอนุมูลอิสระของร่างกายด้วย ส่งผลให้สาวดื่มหนักและสาวนักสูบแลดูมีอายุกว่าวัย แถมยังทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำจนขาดความชุ่มชื่น ผิวพรรณแห้งกร้าน ไม่สดใสเปล่งปลั่ง

มาร์คหน้า กับ ขัดหน้า อย่างไหนดีกว่ากัน ???


เคย สงสัยกันบ้างหรือไม่ ว่าการดูแลผิวหน้าด้วยวิธีการมาร์ค ขัดหน้า วิธีการไหนจะดูแลผิวหน้าเราได้ดีกว่ากัน และวิธีการแบบไหนจะเหมาะกับผิวหน้าเราที่สุด
ถ้านึกถึงเรื่องของการกำจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้ว วิธีการที่ดีที่สุด คงหนีไม่พ้นการขัดหน้าซึ่งปกติคนเราจะมีการสร้างเซลล์ใหม่ทุก 28 วัน และเซลล์เก่าก็จะไปอยู่ที่ผิวหนังชั้นนอกรอการหลุดลอก ถ้าหากไม่ยอมหลุดออกไป จะทำให้เกิดการอุดตันรูขุมขน เป็นสาเหตุให้เกิดปัญหาสิว ฝ้า ได้ โดยปกติ หากจะขัดหน้า ควรทำสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง หรือตามแต่สภาพผิว
**มีสูตรขัดผิวด้วยวิธีธรรมชาติ*** มาฝากค่ะ
ส่วน ผสมหาได้ง่ายแสนง่าย ให้ใช้น้ำตาลทรายแดงและโยเกิร์ต โดยนำส่วนผสมใส่รวมกันและคนให้ละลาย แล้วนวดเบา ๆ จากนั้นล้างออกด้วยน้ำสะอาด

ถ้าหากต้องการกำจัดสิวเสี้ยนให้ออกอย่างหมดจดทั้งใบหน้า และทำให้รูขุมขนเล็กลงและช่วยดูดซับน้ำมันได้อย่างดี ก็ต้องวิธีการมาร์คหน้า
และวิธีการมาร์คหน้าที่ถูกวิธี....
1.ให้ใช้ไอน้ำร้อนเพื่อช่วยเปิดรูขุมขน
2.มาร์คหน้าทิ้งไว้ แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น
3.ล้างหน้าด้วยน้ำเย็น หลาย ๆ ครั้งเพื่อปิดรูขุมขน

*** ข้อควรระวังในการมาร์คหน้า***
หลังมาร์คหน้า ห้ามกดหรือบีบสิว และหมั่นขจัดน้ำมันส่วนเกิน และเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพอยู่เสมอ
****************************************************

8 เทคนิคมีหน้าขาวใส


เชื่อว่าหลายคนก็คงสรรหาทั้ง ครีมหน้าขาว , เทคนิคการบำรุงผิวหน้าให้ดูขาวใสอยู่ตลอดเวลา ทั้งเพิ่มเติม เสริมแต่ง เพื่อให้ตนเองดูดี และ อ่อนกว่าวัยกันอย่างมากมาย วันนี้ผู้เขียนจึงขอแนะนำเทคนิคเพียง 8 ขั้นตอนในการดูแลผิวให้ขาวใสกัน ดังต่อไปนี้เลย
1. หากผู้อ่านเป็นผู้ที่ชื่นชอบการแต่งหน้าเป็นชีวิตจิตใจ ก็ควรทำความสะอาดหน้าเป็นพิเศษเพื่อขจัดสิ่งเหล่านั้นให้หมดไป หรือ หากท่านไม่ได้เป็นผู้ที่ชื่นชอบในการแต่งหน้าเท่าไหร่นักก็เพียงล้างหน้า ด้วยน้ำเย็น ทุกครั้งหลังออกไปทำกิจกรรมต่างๆ ภายนอกบ้าน หรือ ก่อนนอน
2. เลือกสรรโฟมล้างหน้าหรือสบู่สำหรับล้างหน้าโดยเฉพาะ ที่เหมาะสมกับผิวหน้าของเราเอง ด้วยน้ำเย็น หากแต่ไม่ควรล้างบ่อยจนเกินไปเพราะอาจทำให้หน้าขาดความชุ่มชื่นได้
3. ล้างหน้าด้วยน้ำอุ่น วิธีนี้เป็นเพียงการเปิดรูขุ่มขนให้กว้างขึ้น เมื่อล้างสิ่งสกปรกเรียบร้อยแล้วควรใช้น้ำเย็นล้างออกตาม
4. หลังจากการล้างหน้าทุกครั้ง ควรใช้ ครีมหน้าขาว หรือ โลชั่น เพื่อบำรุงผิวให้ชุ่มชื้นอยู่ตลอดเวลา
5. หมั่นหาเวลาว่างให้ความสำคัญกับการขัดผิวหน้าอย่างน้อยสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง
6. รับประทานอาหารให้ครบตามหลัก 5 หมู่ และ ดื่มน้ำสะอาด
7. ออกกำลังกายอย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 วัน หรือ วันละ 15 นาที เพื่อให้ ผิวขาว ดูสดใสอยู่ตลอดเวลา
8.ไม่ ควรเครียดมากเกินไป ควรให้อารมณ์ของคุณอยู่ในอารมณ์ที่ยิ้มแย้มแจ่มใส เพราะจากการสำรวจจะพบว่าผู้ที่มีอารมณ์ดีมักเป็นผู้ที่มีหน้าตาแจ่มใส และ สดใสกว่า
นอก จากนี้ควรพักผ่อนให้เพียงพอ และ งดการดื่มหรือรับประทานอาหารที่มีแอลกอฮอล์จำนวนมาก เพราะหากพักผ่อนไม่เพียงพออาจทำให้เราดูหมองคล้ำ ได้นะ

สวยด้วย ... กล้วย


มาดูกันเลยว่า สูตรหน้าใส และสูตรผมสวย ด้วยกล้วยนั้น มีอะไรบ้าง
มาส์กผิวนุ่มชุ่มชื้น
ส่วนผสม กล้วยหอมสุก 1 ผล, น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ, ไข่ขาว 1 ฟอง, ดินสอพองบด 1 ช้อนโต๊ะ, โยเกิร์ต 1 ช้อนโต๊ะ
วิธีทำ
1. ตีไข่ขาว เทโยเกิร์ตและน้ำผึ้งลงไป ตามด้วยดินสอพอง คนให้เข้ากันจนเนื้อเนียนละเอียด
2. บดกล้วยหอมสุกจนเนื้อละเอียดเนียน แล้วลงผสมกับส่วนผสมในข้อ 1
เมื่อได้ส่วนผสมเรียบร้อยแล้ว จากนั้นล้างหน้าให้สะอาด ทาส่วนผสมที่ได้บนใบหน้า คอ และไหล่ นวดเบา ๆ ให้ทั่ว ทาให้หนาพอควร ทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที จากนั้นล้างออกด้วยน้ำอุ่น (แต่ไม่อุ่นจัด)
ทำเป็นประจำประมาณ 3-4 ครั้ง/สัปดาห์ ผิวหน้าจะดูนุ่มนวลและสดใสมากขึ้น
มาสก์ผมนุ่มสลวย
ส่วนผสม กล้วยหอมสุก 1 ผล และน้ำมักมะกอก 1 ช้อนโต๊ะ
วิธีทำ บดกล้วยหอมสุกจนละเอียด เติมน้ำมันมะกอกลงไปผสมให้เข้ากัน
นำส่วนผสมที่ได้พอกลงบนผมที่แห้งให้ทั่วศีรษะ ตั้งแต่โคนจรดปลายผม หมักทิ้งไว้ 15-30 นาที จากนั้นล้างออกด้วยน้ำอุ่น แล้วสระผมด้วยแชมพูตามปกติ
ควรทำสัปดาห์ละ 2 ครั้ง จะช่วยให้ผมนุ่มสลวยเป็นเงางาม
เพียงแค่นี้ ใบหน้าก็จะนุ่มขึ้น ผมก็จะเงางามขึ้น ลองทำกันดูนะคะ

ร้อนนี้ดูแลผิวอย่างไรดี


การเข้าใจสุขภาพผิวและความต้องการของผิวของแต่ละคน และการใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมอย่างถูกต้อง เป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้คุณรักษาสุขภาพของผิวที่ดีไว้ได้ ใครๆ ก็อยากเป็นสาวผิวใส สุขภาพดี ไร้ความหมองคล้ำ รวมไปถึงสภาวะรอบๆ ตัว อาจทำให้ผิวของคุณขาดความกระชับ ดังนั้นการใส่ใจผิวพรรณจึงเป็นสิ่งสำคัญเป็นอย่างยิ่ง เมื่อสภาวะของผิวเปลี่ยนไป วิธีการดูแลผิวที่แตกต่างไปจากเดิมจึงเป็นสิ่งจำเป็น
ดังนั้นการดูแลผิวเป็นประจำจะช่วยทดแทนการเปลี่ยนแปลง ต่างๆ ได้ค่ะ ไม่ว่าจะเป็นผิวหน้าหรือผิวกายนับว่าเป็นสิ่งที่สำคัญมากสำหรับคนทุกเพศทุกวัย การที่มีผิวหน้าและผิวกายที่ดูดีสวยใส นับว่าเป็นความมั่นใจที่ดีอย่างหนึ่ง เพราะว่าการที่มีผิวสวยใสทำให้เราไม่ต้องกังวลจนเป็นที่มาของอาการขาดความมั่นใจในตัวเอง ฉะนั้นเรามาลองหาวิธีง่ายๆ ในการถนอมผิวสำหรับหน้าร้อนกันดีกว่าค่ะ


1. ดื่มน้ำอุ่นผสมน้ำมะนาวทุกเช้า โดยการผสมน้ำอุ่น กับน้ำมะนาวครึ่งผล เพราะน้ำมะนาวจะช่วยชะล้าง และทำความสะอาดของระบบต่างๆ ทำให้ร่างกายของเราสดชื่นตลอดทั้งวัน

2. ควบคุมการรับประทานอาหารให้สมดุล
 เพราะภาวะของโภชนาการที่ดีต้องมีความพอดี ระหว่างคาร์โบไฮเดรต โปรตีน และน้ำหนักของร่างกาย ดื่มน้ำสะอาดให้ได้วันละ 2 ลิตร และออกกำลังกาย สัปดาห์ละ 4-5 ชั่วโมง 

3. คุณค่าอาหารเช้า
 เลือกอาหารเช้าที่มีคุณค่า งดของทอด และของมันกับของรสจัด ลองเปลี่ยนมาเป็นโยเกิร์ต กับผลไม้ เท่านี้ก็จะมีพลังทำงานไปตลอดเช้าแล้วล่ะค่ะ

4. มื้อกลางวันอาหารแป้ง 
ร่างกายต้องการแป้งในปริมาณพอเหมาะ เพื่อให้มีเรี่ยวแรงทำงานได้ตลอดจนถึงเย็น ลองเลือกรับประทานอาหารแป้งที่มีเส้นใยไฟเบอร์ดูบ้าง จะช่วยให้อิ่มทนแล้ว ยังลดคอเลสเตอรอลได้ด้วย

5. การใช้ครีมกันแดดอย่างสม่ำเสมอ
 ไม่ว่าจะเป็นฤดูกาลไหน ครีมกันแดดก็เป็นสิ่งสำคัญในการช่วยปกป้องผิวจากแสงแดด การทาครีมกันแดดเป็นประจำทุกวันจึงเป็นเสมือนการสร้างเกราะคุ้มกัน การหลบแดดถือว่าเป็นวิธีป้องกันผิวที่ดีที่สุด หรือถ้าต้องไปเผชิญแสงแดดในตอนกลางวันควรสวมหมวก สวมแว่นตากันแดด และใส่เสื้อผ้าโทนสีเข้ม เนื้อหนา เพราะจะช่วยป้องกันการทะลุผ่านของแสงแดด และการไหม้เกรียมของผิวได้ค่ะ

6. ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของ AHA
 ซึ่งมีคุณสมบัติในการช่วยผลิตเซลล์ผิวให้ขาวขึ้น และยังช่วยรักษาริ้วรอยจากแสงแดดได้ด้วย แต่อย่างไรก็ควรหลีกเลี่ยงการตากแดดแรงๆ เพราะจะทำให้ผิวไหม้เกรียมได้

7. อย่ารบกวนผิวมากเกินไป 
การล้างหน้าบ่อยๆ หรือขัดถูผิวหน้าอย่างรุนแรง ถือว่าเป็นการทำลายผิวอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว และเป็นสาเหตุอย่างหนึ่งที่ทำให้ผิวเกิดริ้วรอยได้ ไม่เป็นผลดีต่อสุขภาพผิวเลยนะคะ

8. การลดริ้วรอย เมื่ออายุเพิ่มมากขึ้น
 ริ้วรอยเป็นสัญญาณเตือนถึงความร่วงโรยของผิวได้ ควรหาครีมที่มีส่วนประกอบของเรตินอล ซึ่งมีคุณสมบัติลดเลือนริ้วรอยได้ดีค่ะ

9. ทานอาหารที่มีคุณสมบัติต่อต้านริ้วรอย
 การรับประทานผัก ผลไม้ และอาหารที่มีไขมันต่ำ จะช่วยให้ผิวพรรณของเราแข็งแรงพอที่จะต่อต้านสิ่งที่มาทำลายผิวโดยเฉพาะแสงแดด ควรลดการรับประทานของหวาน ควรเพิ่มการรับประทานจำพวกผักใบเขียว ผลไม้ ถั่วต่างๆ จะช่วยให้ผิวของคุณแข็งแรง และเป็นการปกป้องผิวไม่ให้ถูกทำลายจากสิ่งแวดล้อมและมลภาวะรอบตัวเราได้ค่ะ

10. การใช้ชีวิตอย่างสมดุล ผู้หญิงหลายคนมีส่วนที่เสี่ยงต่อการหย่อนยาน ไม่สดใส เนื่องจากทำงานหนักและไม่มีเวลาพักผ่อน นอกจากร่างกายจะอ่อนล้าแล้ว ผิวพรรณก็ดูหมองคล้ำลง ทำให้ดูโทรม คุณควรบริหารเวลาทั้งเวลางาน และเวลาส่วนตัวให้เกิดความสมดุล และควรหาเวลาออกกำลังกายบ้าง รวมถึงการพักผ่อนอย่างเต็มที่ หากคุณไม่หาเวลาผ่อนคลายเสียบ้าง ผิวพรรณของคุณก็จะร่วงโรยหมดความสดใส และความเปล่งปลั่งของผิวสาวก็มิอาจกลับคืนมาได้อีก
Health Tips : เล็กๆ น้อยๆ สำหรับหน้าร้อน
อันตรายของแสงแดด ที่คุณควรป้องกัน

ความร้ายกาจของแสงแดด ใช่ว่าจะเป็นเฉพาะแสงแดดที่แผดจ้าเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แม้กระทั่งในที่ที่เราคิดว่าแสงแดดส่องมาไม่ถึงก็ทำลายผิวได้เหมือนกัน เพราะอำนาจของรังสีอัลตราไวโอเลตนั้น สามารถทะลุทะลวงไปจนถึงชั้นใต้ผิวหนัง ไปกระตุ้นการทำงานของเมลานิน ซึ่งเป็นต้นเหตุของผิวคล้ำ และทำให้อีลาสตินจับตัวเป็นก้อน ผิวไม่ยืดหยุ่นเหมือนเดิม ทำลายโครงสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวเริ่มหยาบกร้านและแห้งตึง
ผลพวงของผิวที่ได้รับจากแสงแดด นอกจากความคล้ำ ผิวแห้งและหยาบกร้านแล้ว ผิวก็จะเกิดการอักเสบบวมแดง ไหม้เกรียม และแสบร้อน และที่สำคัญจะก่อให้เกิดริ้วรอย จุดด่างดำ ฝ้า กระ และสีผิวไม่สม่ำเสมอ หรืออาจส่งผลให้เป็นมะเร็งผิวหนัง ทำร้ายผิวบอบบางรอบดวงตา และทำลายระบบภูมิคุ้มกันโรคอีกด้วย ฉะนั้นทุกครั้งที่ต้องออกแดด ควรจะหาโลชั่น หรือครีมกันแดดทาทุกครั้ง หรือสวมหมวกเพื่อปิดบังใบหน้า สวมเสื้อผ้าแขนยาว และกางเกงขายาว เพื่อช่วยป้องกันผิวให้พ้นอันตรายจากแสงแดดกันดีกว่าค่ะ
น้ำกับสุขภาพสำหรับหน้าร้อน
น้ำเป็นส่วนประกอบที่สำคัญในร่างกาย คนเราจะดื่มน้ำเมื่อรู้สึกกระหาย แต่จริงๆ แล้วความรู้สึกกระหายน้ำเป็นเพียงหนึ่งในอาการที่ร่างกายของเราแสดงออกมาว่ากำลังขาดน้ำ น้ำช่วยรักษาความชุ่มชื้นของผนังอวัยวะภายในร่างกาย และผิวหนัง ช่วยรักษาปริมาณและระดับความเข้มข้นของของเหลวในร่างกาย เช่น เลือด และน้ำเหลือง ให้เป็นปกติ ช่วยควบคุมอุณหภูมิของร่างกาย ช่วยขับถ่ายสารพิษ และสารเคมีตกค้างออกจากร่างกายผ่านทางปัสสาวะ เหงื่อ และการหายใจ เพราะฉะนั้นคนเราควรจะต้องดื่มน้ำให้ได้ประมาณเท่ากับที่สูญเสียไปแต่ละวัน เพราะอาจได้รับน้ำไม่เพียงพอ ส่งผลให้เราประสบภาวะขาดน้ำอย่างรุนแรง อาจทำให้มีปัญหาสุขภาพตามมาได้ค่ะ

10 สูตรความงามทำเอง


1. น้ำตาลทรายแดง+นม = ผลิตภัณฑ์ขัดผิว
2. โยเกิร์ต+น้ำผึ้ง =บรรเทารอยแดงและผิวแพ้ง่าย
3. น้ำมันดอกคำฝอย + น้ำมันทานตะวัน = ทรีทเมนท์บำรุงหนังศีรษะ
4. ปิโตรเลียมเจลลี่ + น้ำตาลทรายแบบไม่ฟอกสี = สครับริมฝีปาก
5. เกลือ + น้ำเปล่า = สเปรย์สำหรับเส้นผม
6. น้ำกุหลาบ + กะทิ = น้ำอาบเพื่อผ่อนคลาย
7. น้ำมันมะกอกอุ่นๆ = ทรีตเมนต์ก่อนสระผม
8. ชาเขียว + น้ำเปล่า = โทนเนอร์
9. น้ำมะนาว + ชาคาโมมายล์ = ไฮไลต์เส้นผม
10. ดีเกลือฝรั่ง + น้ำมันอัลมอนด์ + น้ำมันอบเชย +น้ำมันแซนดัลวู้ด + น้ำมันเครื่องเทศรวม  = สครับสำหรับมือและเท้า

10 กฎใหม่ในการดูแลผิว


1. มันไม่ใช่แค่ "ประเภท" ของผิวคุณเท่านั้นนะ ผู้เชี่ยวชาญเห็นพ้องกันว่าในขณะที่การแบ่งแยกประเภทของผิว (ผิวมัน แห้ง และอื่นๆ) จะยังใช้ได้อยู่ แต่คุณไม่ควรผูกติดกิจวัตรการดูแลความงามทั้งหมดของคุณเพียงแค่กับเรื่องนี้ ประเภทของผิวคุณกำหนดว่าคุณควรใช้ผลิตภัณฑ์สูตรไหน ที่มีสารให้ความชุ่มชื้นมากกว่าหรือน้อยกว่า และควรใช้สารให้ความชุ่มชื่นชนิดไหนดี แต่คุณก็ควรต้องใส่ใจในปัญหาอื่นๆ ของคุณด้วย เช่น ริ้วรอย สิว หรือจุดด่างดำ ฉะนั้น กฎโดยทั่วไปก็คือ เลือกเคลนเซอร์และมอยสเจอไรเซอร์ตามประเภทผิวของคุณ และเลือกทรีตเมนต์พิเศษตามปัญหาอื่นที่คุณมี
2. ทำความสะอาดผิวตอนกลางคืนให้ดี อย่าบอกว่า โอ๊ย ใครๆ ก็รู้ ใช่ แต่ปัญหาก็คือการทำความสะอาดผิวที่ไม่ดีพอต่างหากล่ะ ที่พบกันอยู่เป็นประจำ การไม่ล้างเมกอัพออกตอนนอนทำให้รูขุมขนอุดตัน ส่งผลให้เกิดการสะสมตัวของแบคทีเรีย ไม่เพียงแต่จะเกิดสิว แต่ยังทำให้เกิดอนุมูลอิสระที่นำไปสู่การเสื่อมสลายของคอลลาเจนด้วย ผิวสะอาดๆ ยังทำให้ผลิตภัณฑ์ อย่างเช่น เซรั่มและครีมทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพขึ้นด้วย วิธีที่ดีที่สุดในการทำความสะอาดเหรอ? นวดเคลนเซอร์บนผิวให้ทั่วสักครู่เพื่อให้มันละลายสิ่งสกปรกต่างๆ ได้อย่างหมดจด ก่อนจะล้างออก และถ้าไม่แน่ใจก็ตามด้วยโทนเนอร์อีกสักรอบ เพราะสิ่งตกค้างที่เหลืออยู่ก็อาจส่งผลเสียได้ต่อผิวพอๆ กับความสกปรกนั่นแหละ
3. ใช้เซรั่ม เนื่องจากเซรั่มส่วนใหญ่จะใช้น้ำเป็นส่วนผสมหลัก (Water-Based) สารออกฤทธิ์จึงแทรกซึมลงไปได้เร็วกว่าโลชั่นหรือครีม ช่วยเร่งการดูแลผิวให้เร็วขึ้น และทำไมถึงจะจัดการอยู่แต่กับปัญหาอย่างเดียว ซีรั่มยุคใหม่ทำได้ หลายอย่างมากขึ้น ทั้งช่วยลดเลือนริ้วรอย ดูแลสีผิวที่ไม่สม่ำเสมอ และรูขุมขนในหนึ่งเดียว
4. ฉลาดกินอาหารเสริม ในเรื่องของความร่วงโรย การกินอาหารเสริมช่วยได้ เพราะระดับของสารอาหารจำนวนมาก จะลดลงไปตามวัยที่เพิ่มขึ้น ถ้าไม่แน่ใจว่าจะเลือกกินอะไรดี ลองมองหาอะไรที่เป็นแอนตี้ออกซิแดนต์ (ที่ช่วยรับมือกับความเสียหายจากสภาพแวดล้อม) กรดไฮยาลูรอนิก (มีการศึกษาที่แสดงว่ากรดไฮยาลูรอนิกช่วยเพิ่มความชุ่มชื่นในผิว กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน รักษาความยืดหยุ่นของผิว และยังมีความสามารถในการต้านแบคทีเรียและต้านอาการอักเสบ และยังทำงานเป็นสารต้านอนุมูลอิสระอีกด้วย) และสารอาหารที่ช่วยต้านอาการอักเสบ
5. อย่าลืมการปรนนิบัติผิวหน้า ไม่ใช่เพียงแค่การนวดหน้าหรือพอกหน้าเพื่อสร้างความผ่อนคลายหรือทำความสะอาดล้ำลึก แต่การปรนนิบัติผิวหน้าเหล่านี้สามารถส่งผลดีต่อผิวได้จริงๆ ด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ทำให้การปรนนิบัติผิวหน้าทั้งหลายแหล่งสามารถส่งผลดีต่อผิวได้จริงๆ ผู้เชี่ยวชาญด้านความงามแนะนำให้ปรนนิบัติผิวหน้าด้วยทรีตเมนต์พิเศษทุก 4-6 สัปดาห์ แต่ถ้าไม่สามารถจ่ายได้ขนาดนั้น ก็ลองใช้มาส์กหรือครีมนวดให้ตัวเองอยู่ที่บ้านก็ได้
6. ไม่ว่าผลิตภัณฑ์จะดีแค่ไหน ก็ไม่มีอะไรแทนที่การนอนหลับที่เพียงพอได้ การอดนอนหรือนอนไม่พอเป็นประจำส่งผลให้เกิดความเครียด ที่ทำให้ระดับคอร์ติซอลในร่างกายสูงขึ้น และทำให้ผิวมีปัญหาขึ้นได้หลายอย่าง และคุณรู้หรือเปล่าว่า อุณหภูมิร่างกายเราจะสูงขึ้นเล็กน้อยตอนเรานอนหลับ? นี่ทำให้ผลิตภัณฑ์ต่างๆ ที่เราใช้ตอนก่อนนอนซึมซาบเข้าไปในผิวได้ดีขึ้นด้วยนะ
7. เพิ่มผลิตภัณฑ์ทีละอย่าง เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดความระคายเคือง เพิ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เข้าไปในกิจวัตรประจำวันของคุณทีละอย่าง และอย่าใช้อะไรมากจนเกินเลยไป เช่น ผสมผลิตภัณฑ์ที่ขัดลอกเซลล์ผิวอย่างเรตินอล ไกลโคลิกแอชิด หรือเบนซอยล์ เพอร์ออกไซด์ กับผลิตภัณฑ์ที่แพทย์สั่งให้ใช้อย่างเรตินเอหรือโรแอคคิวแทน เพราะมันอาจทำให้ผิวของคุณเกิดอาการแพ้ขึ้นมาได้
8. ลอกหน้ากันดีกว่า การใช้ผลิตภัณฑ์ลอกหน้าแบบอ่อนโยนเป็นหนึ่งในวิธีการผลัดเซลล์ผิวที่ยอดเยี่ยม เพราะมันกระตุ้นการซ่อมแซมตัวเองของผิว และสามารถช่วยให้ผิวกระชับขึ้น นอกจากนี้ การกำจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วยังทำให้ผิวหน้าคุณผุดผ่องขึ้นทันที
9. อย่ายุ่งกับสิว เรารู้ว่ามันยั่วยวนใจที่จะบีบสิว แต่สิวที่ไม่ได้รับการแตะต้องมักจะหายไปในเวลาแค่สองสามวัน ขณะที่สิวซึ่งถูกคุณบีบอาจต้องใช้เวลาเป็นสิบวันกว่าที่จะหาย
10. เลือกใช้ของที่ได้รับการทดลอง และทดสอบแล้ว ใช่แล้ว เรามักอยากลองผลิตภัณฑ์ใหม่ล่าสุดจากห้องทดลอง และตื่นเต้นกับสิ่งใหม่ๆ ที่มันบอกว่าสามารถทำได้ แต่ที่สำคัญที่สุดก็คือ เราควรยืดติดอยู่กับส่วนผสมที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าได้ผลก่อนอื่น อย่างเช่น แอนตี้ออกซิแดนต์ เรตินอล กรดซาลิไซลิกหรือกรดแล็กติก

แฟน 7 แบบที่ควรเขี่ยทิ้ง


 1.แฟนประเภทชอบรื้อฟื้นเช่น คบกันอยู่ดีๆ แต่วันร้ายคืน สยองเขากลับ มักพูดถึงแต่แฟนเก่า ว่าเป็นคนอย่างงั้น อย่างโน้น นัยว่าหล่อน เป็นแม่พิมพ์ประจำใจเขานั่นแหละ แถมเล่าแล้วไม่เล่าเปล่าเสียด้วยนะ มีการจับ ทั้งแฟน ปัจจุบันกับอดีตหวานใจมาเปรียบเทียบซะกระเจิด กระเจิง แล้วไอ้ที่เขา พูดๆ พล่ามๆ เรื่องรักเก่าสมัย ม.3 อะไรเนี่ย มันเป็นสิ่งสร้างสรรค์ หรือทำให้รักปัจจุบัน เหนียวแน่นหรือก็เปล่าเลย ยิ่งเห่า เอ้ย ยิ่งพูดก็ยิ่งทำ ให้แฟนคนล่าสุดหมดกำลังใจไปเรื่อยๆ แถมดีไม่ดี เขาอาจเก็บภาพสมัยที่เคยระเริงรักกับแฟนเก่า ซึ่งซุกไว้ใน เอ็กซ์ไฟล์ ส่วนตัวมาเปิดดูบ่อยๆ โดยที่คุณไม่เคยรู้มาก่อนก็ได้ แล้วอย่างนี้จะ ให้รักกันไหวไหมล่ะ  
 2. แฟนชอบโกหกจนเป็นสันดานข้อนี้คงไม่ต้องอาศัยคำอธิบายอะไร ให้มาก เพราะ ใครบ้าง ที่ไม่รู้อยู่แก่ใจว่า การโกหก คือยาพิษที่ บ่อนทำลายความ รักได้ง่ายและฉับไวที่สุดบ้างนะ เหตุนี้ ถ้ามีแฟนจัดเข้าข่ายเป็นพวก โก-Six หรือมุสาวาจา เป็น กิจวัตร หรือพวกชอบโชว์มาด “มือถือสาก ปากถือศีล” ล่ะก็ ถ้าไม่เลิกกันวันนี้ พรุ่ง นี้ ก็คงมะรืนนี้แหละ สักวันนึงย่อมทนกันไม่ได้อยู่ดี
 3.แฟนเจ้าชู้ไม่เลือกหน้าแบบว่า เผลอเป็นไม่ได้ ต้องสะเหร่อ แบ่งกายไปเบียด คนอื่นอยู่เรื่อย แต่ใช้ข้ออ้างเดิมๆ ว่า เพราะเด็กมันยั่ว เลย หลวมตัวนอตหลุด งั้นเชิญไปไขก๊อกกันทุกคืนเลยแล้วกัน เราอย่าลดตัว เป็นมารคอหอย เขาหน่อยเลย  
 4.แฟนที่ไม่สนว่า จำเป็นต้องเอาใจคนรักอะไร กันนักหนา
เอ้...ถ้าไม่รู้จักเอาใจสวีตฮาร์ท แล้วจะให้อีกฝ่ายคอย แต่เอาใจใส่เขาหรือยังไง หากรักกันจริงก็ควรเทกแคร์กันสิ เพ่ เทกแคร์น่ะแปลว่า ดูแลเอาใจใส่ไม่ ใช่ไม่เห็นจำเป็นต้องไปเหลียวแล เค้าว่า ความรักคือการแบ่งปันสิ่งดีๆ ให้แก่กัน ไม่ใช่หรือ? แล้วเคยให้กันบ้างไหม?  
 5. แฟนไม่เคยมีเวลาให้รวมไปถึงชอบผิดนัด นิยมบอกปัด อ้าง งานเยอะ แม้แต่วันหยุดสุดสัปดาห์ก็ไม่รู้หายหัวไปไหน ขืนเป็นงี้ แล้วจะเป็นแฟน กันไปทำไม? จะเป็นเพื่อนหรือเป็นแฟนก็แปะ เอี้ย (เหมือนกัน) ไม่เห็นมีอะไรต่าง นอกจากอยากเป็นแฟนเฉพาะทางโทรศัพท์ก็ว่าไป อย่าง
 6. แฟนไม่เคยทำตามสัญญาให้ความหวังด้วยลมปากเป็นอย่าง เดียว แต่ทำให้หวังเป็นจริง ไม่ได้ก็แย่
 7. แฟนที่ชอบตอกย้ำซ้ำเติมปมด้อยให้น้อยเนื้อต่ำใจได้ตลอดเวลาเอ๊ะ ถ้าไม่เห็นเรามีดีแล้วตกลงมา รักกันให้เจ็บๆคันๆ ทำไมเหรอ ถ้ารักแล้ว พูดจาภาษาดอกไม้ หาเรื่องดีๆ เป็นสิริ มงคลมาคุยกันไม่ได้ งั้นหันมาเป็นศัตรูกันยังเก๋ซะกว่า นี่ล่ะหนา ถึงอยากถามใคร ต่อใคร ว่าก่อนจะรัก หล่อนพร้อมจะเจ็บกระดองใจหรือยังจ๊ะ

13 ข้อ ก่อนเลือกคู่

13 ข้อ ก่อนเลือกคู่


หากคิดจะใช้เวลาชั่วชีวิตกับใครสักคนคุณควรจะแน่ใจว่าเขาคนนั้น....
            1. ควรจะเป็นคนที่คุณรู้สึกพอใจในตัวเขาในหลายๆด้าน เช่น รูปร่างหน้าตา นิสัยใจคอ ท่าทาง การใช้คำพูด ฯลฯ บางคนอาจเรียกว่าถูกชะตาก็ได้ ซึ่งคนอื่นอาจจะไม่เห็นข้อดี ของเขาอย่างที่คุณเห็นก็ได้
          2. มีทัศนคติตรงกัน หรือพูดกันรู้เรื่อง คือไวต่อความต้องการของอีกฝ่าย พอสมควร สามารถเปิดใจคุยกันทุกเรื่อง ทั้งเรื่องลึกๆและเรื่องเล่น ๆ
            3. มีความรู้สึกชื่นชมยกย่องซึ่งกันและกัน แม้ว่าจะทำงานคนละด้านหรือ มีการศึกษาที่แตกต่างกัน ก็ตาม
           4. มีเหตุผล พูดจาปรึกษาหารือกันได้ไม่ใช้แต่อารมณ์อย่างเดียว
           5. ขยัน เป็นสิ่งสำคัญมากเพราะมีส่วนช่วยสร้างความมั่นคงให้กับชีวิตคู่และอนาคตข้างหน้า
            6. ปรารถนาดีต่อกัน หรือจริงใจต่อกัน ..ข้อนี้ต้องดูกันนานหน่อยค่ะกว่าจะรู้ว่าไม่ได้เสแสร้ง หรือหวังผลประโยชน์จากเรา
            7. อายุก็มีความสำคัญ เพราะจะทำให้มีประสบการณ์ชีวิตมากขึ้น มีความอดทน และมีความพร้อมมากขึ้น

             8. มีสุขภาพกายที่ดี หมายถึงแข็งแรงและมีสุขภาพอนามัยที่ดี
             9. มีสุขภาพจิตดี ปรับตัวเข้ากับคนและสิ่งแวดล้อมได้ ไม่มองโลกในแง่ร้าย
             10. ควรมีพื้นฐานทางฐานะพอที่จะพึ่งตนเองได้ เพื่อที่จะได้ไม่เกิด ปัญหากับชีวิตคู่ในอนาคต
             11. มีความรักต่อกัน ข้อนี้คงจะรู้กันได้ถ้าพบคนที่คุณถูกใจ
             12. เป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน คู่รักที่รักกันยาวนาน มักปฏิบัติต่อกันด้วยความจริงใจ เคารพความคิดเห็นซึ่งกันและกัน แม้ในเวลาที่คุณถกเถียงกัน ก็ไม่ควรลืมว่า เขาคือเพื่อนที่ดีที่สุดของคุณ การเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันไม่ได้หมายความว่า ทุกอย่างจะราบรื่น แต่การเคารพความเห็นซึ่งกันและกัน จะทำให้คุณสามารถประคับประคองนาวารักของคุณไปได้
           13. มีความรู้ และความคิด เพียงพอที่จะช่วยกัน พลิกแพลงแก้ปัญหาเฉพาะหน้า หรือ ปัญหาที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้ โดยไม่ถอนตัวหนีหายไปไหน ข้อนี้อาจจะมองยากหน่อย แต่ก็ถือเป็นขั้นสุดของสังคมยุคนี้แล้วหละ 
แต่เอาเข้าจริงๆ ให้พูดกับคนที่กำลังอินเลิฟ เค้าก็คงไม่ฟังหรอกค่ะ เนอะ
เอาเป็นว่า เอาไว้อ่านตอนมีสติก็ดีนะคะ เผื่อวันหนึ่งอาจจะต้องใช้

Thursday, March 29, 2012

ชุดลูกไม้ใส่ได้สวยไม่มีเอาท์


ชุดลูกไม้เรียบหรูดูคลาสสิค   ช่วงนี้กำลังเป็นที่นิยมของสาวๆ หลายคน ปัจจุบันผ้าลูกไม้ได้ถูกนำมาตัดเย็บในสไตล์ที่ทันสมัยและใส่ง่ายขึ้น มีการ mix&match กับผ้าชนิดต่างๆ ได้อย่างลงตัว ไม่ใช่เสื้อผ้าเพียงอย่างเดียวแต่ผ้าลูกไม้ยังนำมาตกแต่งเป็นเครื่องประดับ รองเท้า และกระเป๋าหลากสไตล์ อีกด้วย สาวๆ คนไหนกำลังเตรียมตัวไปงาน แต่ยังไม่มั่นใจกับการใส่ชุดลูกไม้เพราะกลัวใส่ไปแล้วจะเอาท์!! ไม่ต้องกลัวนะคะ Womanplus มีเคล็ดลับการแต่งชุดลูกไม้ให้ดูสวยมีสไตล์มาฝากคะ
1. เลือกทรงเสื้อให้เหมาะกับรูปร่างของตัวเอง สำหรับสาวร่างเล็กเสื้อลูกไม้แขนตุ๊กตา หรือเป็นชุดเดรสที่บานตรงปลายเป็นชั้นๆ  จะทำให้คุณดูมีทรวดทรงมากขึ้น  ส่วนสาวที่หุ่นอวบอั๋น  ควรเลือกใส่เสื้อลูกไม้คอวีและเป็นเดรสรัดเอวคอดตรงยาวลงมาประมาณเข่า จะทำให้คุณดูเพรียวขึ้น คะ
2. สาวๆ ไม่ควรใส่เสื้อลูกไม้กับกางเกงขายาวหรือกระโปรง เพราะจะทำให้คุณดูมีอายุมากขึ้นหลายปีเลยค่ะ โดยเฉพาะการใส่เสื้่อลูกไม้กับกระโปรงที่ยาวเลยเข่าลงไป หรือกางเกงขายาวทรงกระบอก ถ้าขาบานด้วยแล้วละก็ ยิ่งทำให้เกิดความรู้สึกเหมือนคุณกำลังแต่งตัวย้อนยุคอยู่ยังไงอย่างงั้น
3.ไม่ควรสวมรองเท้าส้นเตารีด เพราะจะทำให้คุณดูตัน ไม่เห็นสัดส่วน  แต่สาวๆ ควรเลือกใส่รองเท้าส้นเข็มหรือส้นสูง กับเสื้อลูกไม้เพราะจะทำให้คุณดูเป็นสาวมั่นในสไตล์หวานๆ  สะกดสายตาของหนุ่มๆ ได้นะคะ  แถมการใส่รองเท้าส้นสูงจะทำให้คุณดูสง่าและหุ่นเพรียวด้วยคะ หรือในวันสบายๆ คุณอาจจะเลือกสวมรองเท้าหุ้มส้นน่ารัก ๆ ก็ดูดีไม่แพ้กัน
4. เบรคความหวานของเสื้อลูกไม้ด้วยกางเกงขาสั้นหรือกระโปรงสั้นพอดีตัว อาจเป็นขาสั้นเก๋ๆ หรือกระโรงสั้นรัดรูป แอบเอวสูงเล็กๆ ด้วยผ้าสีดำมันวาว ตัดกับเสื้อลูกไม้สีครีม ดำ  จะทำให้คุณดูเป็นสาวหวานซ่อนเปรี้ยวพร้อมลุยปาร์ตี้อย่างมั่นใจได้เลยนะคะ
5. คุณควรหา Accessories เก๋ๆ ใส่กับชุดลูกไม้ของคุณเพียงแค่ 1อย่างเท่านั้น เพราะไม่เช่นนั้นคุณจะดูรกรุงรังไปหมด อย่างเช่น ต่างหู ระยิบระยับสักคู่ หรือสร้อยคอเก๋ๆ สัก 1เส้น   แค่นี้ก็สวยแล้วคะ
6. ทรงผมทีี่ไม่ควรพลาด เมื่อได้ชุดลูกไม้ถูกใจแล้วมาที่ทรงผมกันบ้าง สาวๆ อาจจะแสกกลางปล่อยตรง  หรือรวมเป็นหางม้า ก็ดูเป็นสาวหวานแบบมั่นๆ ดีนะคะ แต่ถ้าต้องออกงานกลางคืน ก็สามารถรวบผมถักเปียเก็บโชว์ใบหน้าสวยๆ ของเรา เท่านี้คุณก็จะสะกดสายตาของทุกคนในงานได้แล้วละคะ
ชุดลูกไม้ไม่ใช่แค่เพียงเสื้อผ้าที่ผู้หญิงมีอายุสวมใส่เท่านั้นแตะถ้าเรารู้จักนำมา  mix&match ให้เข่้ากับยุคเข้ากับสมัย ชุดลูกไม้ก็จะทำให้สาวๆ ดูสวยเรียบหรูคลาสสิคตลอดกาล

เสื้อประดับลูกไม้ ก็เก๋ดีไม่น้อย

อยากสวยแบบธรรมชาติ 9 เคล็ดลับนี้เวิร์คสุดๆ


สาวๆ ทุกคนสมัยนี้เริ่มรักสวยรักงามกันตั้งแต่ยังเด็กๆ เมื่อเริ่มแตกสาวก็ต้องหาครีม และเคล็ดลับต่างๆเพื่อบำรุงความสวยกัน แต่!บำรุงอย่างไรจะให้สวยแบบธรรมชาตินั้น ลองวิธีเหล่านี้ดูกันนะคะ ^^
makeup
 เริ่มต้นเคล็ดลับแรก คือ ทำสวยให้ได้อย่างน้อยวันละ 2 เวลาทุกวัน ทุกครั้งที่ตื่นเช้าขึ้นมาก่อนไปทำงานหรือทำภารกิจต่างๆนอกบ้าน คุณต้องดูแลเรื่องความงามของตัวเองทุกครั้ง หลังจากนั้นพอทำภารกิจประจำวันเสร็จก็ควรตรวจดูความงามของตัวเองอีกครั้งให้สวยเหมือนตอนเพิ่งออกจากบ้านตอนเช้า
 เคล็ดลับที่ 2 ความอยากสวยต้องเกิดในทุกวัน ผู้หญิงจำเป็นต้องดูแลตัวเองให้สวยอยู่ทุกวันไม่ว่าจะสถานการณ์ไหนก็ตาม เพราะบางทีอาจจะไปสะดุดตาใครสักคนเข้าโดยที่เราไม่รู้ตัว และยังเป็นการบริหารเสน่ห์อย่างหนึ่งอีกด้วย
 เคล็ดลับที่ 3 อัพเดทเทรนด์ความงามเสมอ อัพเดทเทรนด์ความงามไว้บ้างก็ดีจะได้รู้ว่าอะไรกำลังมาแรงไม่ได้ตกเทรนด์ แต่ก็ต้องรู้จักจับนู้นจับนี้มาเข้าคู่กันจะได้มีไอเดียเก๋ไก๋ ไม่ซ้ำใครที่เหมาะกับตัวเอง
 เคล็ดลับที่ 4 สนุกกับชีวิตผ่านมุมมองที่ดี หัดทำตัวเป็นคนมองโลกในแง่ดีเสมอ เพราะการที่เรามองโลกในแง่ดีจะทำให้เรามีความสุขตลอดเวลา พอคุณคิดดี อารมณ์ก็จะดี และพลังแห่งความสุขในตัวคุณก็จะสะท้อนความงามให้เปล่งประกายออกมา
 เคล็ดลับที่ 5 ห้ามขี้เกียจในการบำรุงรักษา อย่าสวยแต่เพียงภายนอก ผู้หญิงควรสวยจากภายในด้วย  เพราะถ้าคุณเอาแต่แต่งหน้าสวยอย่างเดียว แต่ละเลยการบำรุงใบหน้า นั่นอาจทำให้คุณมีริ้วรอยเร็วขึ้น
 เคล็ดลับที่ 6 ความสะอาดต้องมาก่อน หลังจากผ่านการทำงานเผชิญเรื่องราวต่างๆมาทั้งวัน พอกลับถึงบ้านเราต้องทำความสะอาดร่างกายทุกครั้งก่อนล้มตัวลงนอน เพราะเราเจอทั้งฝุ่น ควัน สิ่งสกปรกมาตลอดวัน
 เคล็ดลับที่ 7 นอนหลับช่วยให้สวยขึ้นได้ การนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ จะทำให้คุณรู้สึกกระปี้กระเปร่า แถมผิวพรรณยังดี มีเลือดฝาด ดวงตาก็จะเปล่งประกายสุกใสอีกด้วย  และถ้าคุณนอนตรงต่อเวลายังช่วยเผาผลาญไขมันได้ถึง 80 กรัมเลยทีเดียว
 เคล็ดลับที่ 8 มีจุดเด่นต้องเอาออกมาโชว์ ถ้าคุณรู้ว่าตัวเองมีจุดเด่นอะไรในร่างกาย ก็จัดการเน้นส่วนนั้นให้โดดเด่นเลยดีกว่า เช่น ฟันสวย  เวลาคุณยิ้มก็ยิ้มอวดฟันสวยๆของคุณไปเลย แต่ทั้งนี้คุณก็ต้องรู้จักแต่งตัวให้เป็นด้วยนะ จะได้สวย ดูดีเป็นสองเท่า
ปิดท้ายด้วย ดูแลสุขภาพกาย-ใจให้แข็งแรง ไปตรวจสุขภาพที่โรงพยาบาลอย่างน้อยปีละครั้ง ถ้ามีปัญหาอะไรจะได้รักษาตั้งแต่เนิ่นๆ เพราะความสวยที่ดีที่สุด ก็คือการมีสุขภาพกาย และใจที่แข็งแรง ที่สำคัญต้องรู้จักเลือกรับประทานอาหารที่ดีและมีประโยชน์ต่อตัวเอง