Wednesday, November 26, 2014

เคล็ดไม่ลับ ผอมง่ายๆ แบบไม่ต้องพยายาม

การลดน้ำหนัก คือสิ่งที่จะต้องแลกมาด้วยหยาดเหงื่อและความตั้งใจพยายามอย่างยิ่งยวด แต่ถ้าหากคุณคิดว่ามันยากไปที่จะไปออกกำลังกายแบบหนักหน่วง หรือไม่อยากยุ่งยากกับการจำกัดปริมาณพลังงานมากจนเกินไป แม้กระทั้งหากคุณเป็นมือใหม่ที่อยากจะลดความอ้วนแต่ยังไม่รู้ว่าจะเริ่มอย่างไรดี เรามีทางออกแบบง่ายๆ ให้เริ่มทดลองปฏิบัติดู ไม่แน่ว่าถ้าทำได้ตามนี้คุณอาจจะลดน้ำหนักได้ซักเล็กน้อย โดยไม่ต้องเหนื่อยมากนัก หรือไม่ก็ถือเป็นการเริ่มต้นที่ดีเพื่อเป็นเเรงบันดาลใจให้ทำต่อก็เป็นได้
เคล็ดไม่ลับ ผอมง่ายๆ แบบไม่ต้องพยายาม
เคล็ดไม่ลับ ผอมง่ายๆ แบบไม่ต้องพยายาม 
เริ่มมื้ออาหารทุกครั้งด้วยน้ำดื่มซักแก้วเนื่องจากการที่เรารู้สึกหิวนั้นอาจจะเกิดจากอาการขาดน้ำหรือกระหายน้ำร่วมด้วย ลองดื่มน้ำดูซักแก้วนึงก่อนเริ่มต้นมื้ออาหาร ก็จะทำให้บรรเทาอาการหิว และช่วยลดภาวะที่จะทานอาหารมากเกินความจำเป็นได้
ปรับสลัดเน้นหนักๆ ที่ผักใบเขียวสำหรับคนที่เลือกสลัดมาเป็นอาหารช่วยลดน้ำหนัก ปรับการเลือกสลัดที่เป็นผักใบเขียว ลดการทานแห้ว ข้าวโพด ลูกเดือย ไข่กระทานลง และการเลือกน้ำสลัดก็ถือเป็นตัวแปรสำคัญ ลองปรับเปลี่ยนการทานน้ำสลัดแบบครีมๆ มาเป็นเเบบใสดู ซึ่งเชื่อหรือไม่ว่า การปรับเปลี่ยนเเบบนี้อาจทำให้คุณลดปริมาณพลังงานได้ถึง 60 – 80 kcal เลยทีเดียว นอกจากนี้ลองเปลี่ยนการทานผลไม้แบบอบแห้ง, แช่อิ่ม หรือน้ำผลไม้มาเป็นการทานผลไม้สดๆจะดีกว่าและได้พลังงานน้อยกว่าอีกด้วย
ดาร์ก ช็อกโกแลตช่วยลดอาการติดหวานสำหรับคนที่ติดทานของหวานในยามว่าง ไม่ว่าจะเป็น ลูกอม คุ๊กกี้ ลองเลือกหา ดาร์กช็อกโกแลต แบบที่มีเปอร์เซนโก้โก้ปานกลางมาทานแก้ขัด จำกัดปริมาณให้ได้ครั้งละ 1ชิ้น จะช่วยลดอาการอยากของหวานและของว่างระหว่างมื้อลงได้
รู้จักกะประมาณอาหารที่จะกินถ้าต้องการจะลดน้ำหนักให้ได้ จงรู้จักที่จะกะปริมาณอาหารที่จะทานทุกครั้ง ชั่งตวงอาหารเเทนการที่จะแกะทานจากถุงโดยตรง เลือกจานที่มีขนาดเล็กและจำกัดว่าจะทานเท่าที่ตักมาเท่านั้น อย่าขี้เสียดาย จำไว้ว่าถ้าเหลือเก็บใส่กล่องไว้ทานมื้อต่อไปได้ ไม่จำเป็นต้องทานให้หมดในคราวเดียว
แค่ขยับเท่ากับการออกกำลังกายนอกจากการไปออกกำลังกายเเล้วเรายังสามารถเผาผลาญพลังงานได้มากขึ้นในระหว่างการใช้ชีวิตประจำวัน เช่นการใช้บันไดเเทนการใช้ลิฟท์ในการขึ้นลงชั้นใกล้ๆ หรือ ลงก่อนถึงที่ทำงานซัก 1 ป้ายรถเมล์แค่นี้ก็สามารถเพิ่มการเผาผลาญพลังงานขึ้นได้เเล้ว
ใส่ใจเรื่องดื่มเพราะเครื่องดื่มก็เพิ่มพุงได้หลายครั้งที่การลดน้ำหนักไม่เป็นผลเพราะเราลืมใส่ใจเรื่องครี่องดื่ม เพราะพลังงานที่ไม่เกิดประโยชน์จากการดื่มน้ำอัดลม น้ำผลไม้ในยามเช้า หรือการดื่มไวร์แก้วใหญ่ในมื้อค่ำทำให้อ้วนได้โดยไม่รู้ตัว ลองเปลี่ยนมาทานน้ำเปล่าเย็นๆแทนเพียงเท่านี้เราก็สามารถลดพลังงานที่ไม่จำเป็นได้วันนึงไม่น้อยเลยทีเดียว
อย่าปล่อยให้หิวจัดเมื่อมีสัญญาณเตือนว่าหิวเล็กน้อย เราสามารถหาของว่างเพื่อสุขภาพมาทานได้ แต่ก็ต้องจำกัดปริมาณให้เหมาะสม โดยเลือกของว่างที่มีโปรตีนสูง เช่น ถั่ว อัลม่อน ไม่เกิน 10 – 15 เม็ด หรือของว่างที่กากใยสูงหากเป็นผลไม้ให้เลือกเป็นผลไม้ไม่หวานจัดทานซัก 3-4 ชิ้นคำ การทานของว่างแบบนี้จะช่วยลดอาการหิวจัด และลดการทานมากเกินไปในมื้อหลักได้อีกด้วย
มื้อเย็นทานเบาๆ และทานให้ไวขึ้นลองจำกัดปริมาณมื้อเย็นให้มีพลังงานไม่เกิน 25% ของพลังงานที่ร่างกายต้องการต่อวันและให้ทานอย่างน้อย2-3 ชม.ก่อนเข้านอน เพราะการทานมื้อดึกบ่อยๆอาจทำให้ระบบย่อยอาหารและการนอนหลับมีปัญหาได้
นอนหลับให้เพียงพอการอดนอน การพักผ่อนไม่พออาจทำให้เกิดอาการอยากอาหารมากขึ้นได้ และยังทำให้เราไม่มีพลังงานเพียงพอที่จะทำกิจกรรมต่างๆ ดังนั้นควรหาเวลาพักผ่อนอย่างน้อย7ชม. เพียงง่ายๆเท่านี้ก็มีผลกับการควบคุมน้ำหนักของเราได้ แถมยังทำให้สุขภากายสุขภาพใจแข็งแรงขึ้นอีกด้วย
credit: shape.com และ lovefitt.com

Tuesday, November 25, 2014

12 วิธี เปลี่ยนยีนส์ตัวเก่า ให้เป็นยีนส์ตัวใหม่ที่ไม่เหมือนใคร

เชื่อว่าสาวๆ หลายๆ คนต้องมียีนส์ตัวเก่าที่เคยเป็นตัวเก่งแต่ตอนนี้มันเชยไปแล้วใช่มั้ยค่ะ วันนี้เราจะชวนสาวๆ หยิบยีนส์ตัวนั้นมาโมซะใหม่ให้กลายเป็นยีนส์สุดชิคแบบไม่เหมือนใครเลย เพราะเราจะลงมือ D.I.Y ยีนส์ตัวเก่าให้เป็นยีนส์ตัวใหม่เอง ตามไปดูกันเลยดีกว่าค่ะ

 
1. ทำยีนส์ถลอกๆ ขาดๆ แบบเซอร์ๆ
ทำเสร็จแล้วออกมาจะเซอร์โดนใจสาวๆอย่างแน่นอน

2. ติดหมุดเพิ่มความเก๋ที่ชายกางเกง
เก๋ สวยแบบไม่มีใครเหมือนเราแน่นอน อิอิ
 
3. เพิ่มหมุดแบบกลมๆ เข้าไปอีกหน่อย

4. ตัดยีนส์ขาดๆ รุ่งริ่งๆ แบบเก๋ๆ
แนวไปอีกแบบนะ
 
5. จับมากัดสีย้อมสีอย่างนี้ชิคสุดๆ
ไม่เหมือนใครมีตัวเดียวในโลกเลยนะ..เพราะเราทำเอง
 
6. ติดซิปไว้ข้างๆ ให้กางเกงแบบเท่ๆ
ดูชิคไปอีกแบบ สำหรับสาวๆที่เบื่อกางเกงยีนส์ตัวเก่า ลองนำซิปใส่เข้าไปดูนะจ๊ะ
 
 
8. ต่อยอดจากการทำให้ยีนส์ถลอกๆ โดยเติมสีเข้าไปเพิ่มความสดใส
 
9. ยีนสืเปื้อนสี แบบเซอร์ๆ เด็กแนว
เห็นแล้วอยากทำกันมั้งแล้วใช่ไหมล่ะ
 
10. โพลก้าดอทน่ารักๆ สำหรับสาวหวาน
 
 
11. อีกแบบกับโพลาก้าดอทยีนส์ แบบนี้ทำง่ายกว่านะ
 
12. ทำต้นปาล์มมาติดที่กางเกงซะเลย
เก๋ เท่ มีสไตล์เป็นของตัวเองสุดๆ
แค่นี้ก็ไม่ต้องซื้อยีนส์ใหม่ให้เปลืองเงินแล้ว ทำเองได้แบบง่ายแถมสนุกด้วยนะค่ะ สาวๆ ลองเอาไปทำดูด้วยล่ะ รับรองได้ยีนส์แบบใหม่ไม่เหมือนใครอย่างแน่นอน
 
ที่มา worldinsidepictures.com / girlsallaround.com

Monday, December 9, 2013

ข้อคิด...คืนความสุขให้ใจ


ประสบการณ์
เมื่อเราทำอะไรผิดพลาด
นั่นคือประสบการณ์ที่เราต้องเรียนรู้
และทำทุกวิถีทางที่จะไม่ให้มันเกิดขึ้นได้อีก 
...
เราหยุดการมาเยือนของพายุไม่ได้
แต่มีอีกหลายวิธีที่หลบพายุได้
เหตุผล
เหตุผลเดียวที่จะทำให้คนหมดลมหายใจได้
คือไม่อยากหายใจแล้ว
เหตุผลเดียวที่จะทำให้คนมีความทุกข์ได้
คือไม่อยากมีความสุขแล้ว
ความพยายาม
เราคงไม่สามารถลืมคนคนหนึ่งได้
หากเราพยายามที่จะลืม
แต่เราจะลืมเขาได้ก็ต่อเมื่อ
หัวใจได้ให้อภัยแล้ว
อยากเข้มแข็ง
เสียงร้องไห้
อาจฟังดูไม่สดใสเท่ากับเสียงหัวเราะ
แต่เมื่อใดที่อยากเข้มแข็ง
ร้องไห้เถอะ
คุ้นเคย
เราจะคุ้นเคยกับความมืด
เมื่อเราลองหลับตา และอยู่กับมันนานๆ
เราจะคุ้นเคยกับความรัก
เมื่อเราหลับตาและทะเลาะกับมัน... ด้วยเหตุผล
บังคับตัวเอง
เราจะทำอะไรไม่ถูกต้อง
ไม่เป็นธรรมชาติ
และไม่เป็นตัวของตัวเอง
เมื่อเราพยายามจะทำสิ่งนั้น... ให้ถูกใจคนอื่น
สิ่งที่ยังไม่ได้ทำ
เขาอาจไม่ได้ผิดคำสัญญา
เพียงแต่ไม่สามารถทำตามที่พูดได้
เขาอาจไม่ต้องการทำผิดพลาด
เพียงแต่รู้เท่าไม่ถึงการณ์
เขาอาจไม่ตั้งใจทำให้เธอเสียน้ำตา
เพียงแต่หลงผิดไปชั่วครู่
เขาอาจรักเธอมาก
เพียงแต่ยังไม่มีโอกาสได้บอกเธอ
จาก เราจะคืนความสุขให้กับใจ... ไปพร้อมกัน 

20 ข้อคิดที่ได้จากการอ่าน The Last Lecture

เท้าความหนังสือเล่มนี้ มาจากโครงการที่เลือก professor ตามมหาวิทยาลัยต่างๆพูดในหัวข้อ “The Last Lecture” คือเสมือนถ้าเป็น lecture สุดท้ายของชีวิต คุณจะทิ้งอะไรไว้บนโลกใบนี้ 

Randy Pausch เป็น professor ที่สอนด้าน computer science ของมหาลัยที่มีชื่อเสียงในอเมริกา ได้รับการติดต่อให้ขึ้นพูด ไม่นานภายหลัง เขาถูกตรวจพบว่าเป็นมะเร็งตับอ่อนระยะสุดท้าย ทำให้นี่เป็น “The Last Lecture” สำหรับเขาจริงๆ 



lecture ที่เขาพูดได้ถูกนำมาต่อยอดเป็นหนังสือที่โด่งดังไปทั่วโลก ซึ่งหลังจากอ่านแล้วต้องบอกว่า จับใจ เขาได้บรรยายความรักที่มีต่อภรรยาและลูกๆได้ลึกซึ้งกินใจ ทำเอาน้ำตาไหลได้ง่ายๆ หนังสือเล่มนี้ได้ให้ข้อคิดมากมาย ซึ่งเราได้รวบรวมเอาไว้ดังนี้ค่ะ

1. “When you’re screwing up and nobody says anything to you anymore, that means they’ve have given up on you” 
การมีคนเตือน ดุด่า ว่ากล่าว คือยังมีคนที่รักและห่วงใยเราอยู่

2. “An attitude that all students should have - know what  we don’t know, perfectly willing to admit it and don’t want to leave until we understand.” 
รู้ว่าตัวเราไม่รู้อะไร ยอมรับมัน และยืนยันที่จะเรียนรู้จนเข้าใจ

3. “I  don’t believe in no-win scenario.” 
อันนี้คัดลอกมาอีกทีจากคำพูดของกัปตัน Krik ในเรื่อง Star Trek คือ เขาเชื่อว่ามีหนทางชนะอยู่ในทุกสถานการณ์

4. “ Ask yourself: Are you spending your time on the right things?”
หนึ่งในเกร็ดเล็กๆของการบริหารเวลาคือต้องถามตัวเองว่าสิ่งที่เราทำอยู่เป็นสิ่งที่ควรค่าแก่เวลาที่เสียไปหรือเปล่า ที่เด็ดไปกว่านั้นและน่าลองมาก ในหนังสือแนะนำว่าถ้าอยากจะจบบทสนทนากับคนขายของทางโทรศัพท์เร็วๆ ให้วางสายในขณะที่เราพูดอยู่ ปลายสายจะนึกว่าสัญญาณไม่ดีและโทรหาคนถัดไปในลิสต์รายชื่อ

5. “Take a time out”
อย่ารับโทรศัพท์ อ่านอีเมล หรือข้อความใดๆเกี่ยวกับเรื่องที่ทำงาน ในวันหยุดพักผ่อน อันนี้เป็นเรื่องจริงที่อยากจะบอกทุกคน ส่วนตัวที่เจอมากับตัวเองคือ การทำงานระหว่างแม้จะนิดๆหน่อยๆในวันลาหยุดจะทำให้เราไม่ได้พักอย่างแท้จริง พอเรากลับมาทำงานจะเหมือนกับยังไม่ได้พัก ประสิทธิภาพในการทำงานยิ่งลดลงไปอีก ดังนั้นสำหรับเรา หยุดคือหยุด ปล่อยวางทุกอย่าง เจ้านายโทรมาสั่งงานนี่เราจะอาฆาตมากถึงกับเก็บไปฝัน 555 (อันนี้แนะนำให้บอกจุดยืนพร้อมเหตุผลกับเพื่อนร่วมงานไว้ก่อนเนิ่นๆ)

6. “Develop a real ability to assess ourselves...welcome feedback”
ก่อนอื่นที่จะพัฒนาตัวเองได้ ปรับปรุงตัวให้ดีขึ้น เราต้องสามารถประเมินตัวเองได้ก่อนว่าดีหรือไม่ดี รวมทั้งรับคำเตือนของผู้อื่นๆ ส่วนตัวเราคิดว่า feedback เป็นสิ่งที่มีประโยชน์  แต่ประโยชน์โดยแท้จริงนั้นอยู่ที่เราเปิดรับมันแค่ไหน เราเป็นคนที่มักจะขอ feedback จากเจ้านาย เพื่อนร่วมงานเสมอ ตอนแรกไม่ค่อยได้ประโยชน์อะไรเพราะเรามองหาแต่ feedback ในด้านบวก (คำชมนั่นเอง) ปิดกั้น feedback ในด้านลบ มองว่าไม่จริงหรอก เราไม่ได้เป็นอย่างนั้น แต่ความจริงแล้วประโยชน์จริงๆที่จะช่วยให้เราพัฒนานั้นอยู่ที่ feedback ด้านลบ ซึ่งเราค้นพบว่าพอพยายามเปิดใจรับฟังแล้วมันช่วยได้มาก 

7. “Don’t complain, just  work harder” 
เอาเวลาบ่น ไปทำงานที่หนักขึ้นดีกว่า

8. “Treat the disease, not the symptom” 
แก้ปัญหาที่ต้นเหตุ ในหนังสือยกตัวอย่างแฟนเก่าของ professor ที่เป็นหนี้อยู่หลายหมื่นบาท เธอเครียดมากจึงไปเล่นโยคะทุกอังคารเย็นเพื่อลดความเครียด เขาแนะนำให้เธอใช้เวลาช่วงนั้นหางานพิเศษทำเพื่อจ่ายหนี้ ซึ่งเธอทำแล้วพบว่ามันคือวิธีการแก้ปัญหาที่แท้จริง

9. “Let everyone talk”
อย่าพูดแทรก ให้เกียรติผู้อื่น การพูดดังหรือพูดเร็วสวนขึ้นมาไม่ได้ช่วยให้ความคิดของเราดีขึ้นกว่าเดิม

10. “Instead of “I think we should do A, not B” try “What if we did A, instead of B?””
ประโยคคำถามจะเปิดรับความเห็นผู้อื่น ไม่ได้บังคับให้คนอื่นเลือกข้าง

11. “Almost everybody has a good side. Just keep waiting, it will come out”
ทุกคนมีความดีอยู่ในตัว รอ…แล้วเราจะค้นพบ 

12. “When it comes to men who are romantically interested in you, it’s really simple. Just ignore everything they say and only pay attention to what they do.”
อันนี้สำหรับผู้หญิงนะคะ วัดผู้ชายที่การกระทำ ไม่ใช่ลมปาก 555 ชอบจริงๆอันนี้

13. “Be prepared …Luck is what happens when preparation meets opportunity”
อันนี้ฟังแล้วกระตุก จงเตรียมตัว ความโชคดีจะเกิดขึ้นเมื่อการเตรียมตัวตรงกับโอกาส อยากไปต่างประเทศ ต้องฝึกภาษาอังกฤษ อยากเป็นนักบิน ฝึกเลข หาข้อมูล ถนอมสายตา เมื่อโอกาสมา คุณก็พร้อมโบยบินทันที 

14. “Experience is what you get when you didn’t get what you wanted.”
ประสบการณ์คือสิ่งที่คุณได้เมื่อคุณไม่ได้รับสิ่งที่ต้องการ แปลง่ายๆคือ เมื่อล้มเหลวนั่นเอง ดังนั้นจงอย่ากลัวการล้มเหลว มันคือประสบการณ์ที่มีค่า

15. “Always write thank-you notes”
เป็นคำแนะนำที่เจอบ่อยมาก เขียนคำขอบคุณ โดยเฉพาะด้วยลายมือ เป็นสิ่งที่บางทีอาจเปิดโอกาสดีๆในชีวิตเราได้

16. “A bad apology is worse than no apology.” 
อย่าขอโทษแบบไม่จริงใจ เช่น ขอโทษนะถ้าทำให้คุณรู้สึกไม่ดี ขอโทษนะแต่คุณก็ต้องขอโทษฉันกลับเช่นกัน การขอโทษที่ดีควรมี 3 สิ่ง
- อะไรที่เราทำผิดไป
- ขอโทษจริงๆที่ทำคุณเสียใจ
- จะทำให้ดีขึ้นได้อย่างไร

17. “Tell the truth”
การโกหกไม่ใช่กลยุทธ์ที่ดีในระยะยาว ซักวันความจริงจะต้องปรากฎ

18. “All you have to do is ask”
อันนี้เป็นความจริงที่สุด บางทีถ้าเราต้องการอะไร สิ่งที่เราต้องทำคือการขอ ในหนังสือได้ยกตัวอย่างตอนที่  professor พาลูกชายไป Disney land ลูกชายของเขาอยากขึ้นไปนั่งร่วมกับคนขับรถ monorail สิ่งที่เขาทำเพียงแค่ขอคนขับให้ลูกชายขึ้นไปนั่งด้วยเท่านั้น

19. “We should have a healthy balance between optimism and reality”
การมองโลกในแง่ดี ต้องบาลานซ์กับความจริงที่เป็นไปด้วย

ส่วนตัวอันนี้ชอบสุดๆ คิดว่าต้องปฎิบัติตามนับแต่บัดนี้เป็นต้นไป
20. “The brick walls are there for a reason...They give us a chance to show how badly we want something... and keep others who don’t out”
เหตุผลของการมีอยู่ของอุปสรรคคือ มันให้โอกาสเราแสดงว่าเราต้องการสิ่งๆนั้นมากแค่ไหน และกันคนที่ไม่ต้องการเท่าออกไป ...เรียนต่อเมืองนอก ทำงานกับบริษัทที่มีชื่อเสียง เปิดบริษัทเป็นของตัวเอง เที่ยวรอบโลก ทุกอย่างเป็นไปได้ถ้าเราพยายามมากพอ แสดงให้เห็นว่าเราต้องการมันมากแค่ไหน

7 นิสัยที่คล้ายกันของคนที่ประสบความสำเร็จที่สุดในโลก


1. เป็นนักตั้งเป้าหมาย
เขาตั้งเป้าหมายมากมายในสิ่งที่เขาต้องการด้วยความมุ่งมั่นที่จะทำให้สำเร็จภายในเวลาที่กำหนด มีเหตุผลให้กับตัวเองมากพอในแต่ละเป้าหมายว่าทำไมเขาถึงต้องการมัน การตั้งเป็าหมายเป็นการสร้างภาพความสำเร็จล่วงหน้าทำให้เขาสามารถมองเห็นและรู้สึกถึงความสำเร็จตั้งแต่เริ่มต้นเพื่อเป็นพลังพลักดันอย่างมหาศาลในการทำสิ่งต่างๆให้สำเร็จเร็วยิ่งขึ้น

2. โฟกัสทีละอย่าง
พลังของแสงเลเซอร์สามารถตัดวัตถุที่แข็งแรงที่สุดได้เกือบทุกอย่างจากความสามารถในการรวบรวมการโฟกัสทั้งหมดของแสงไปที่จุดหนึ่งของวัตถุจนกระทั่งวัตถุนั้นเริ่มละลาย คนที่ประสบความสำเร็จเป็นเหมือนแสงเลเซอร์ เขาตั้งเป้าหมายอันท้าทาย โฟกัสที่เป้าหมายนั้น ทุ่มเทความพายายามและความสามารถทั้งหมดที่มีอย่างไม่ยอมแพ้จนกว่าจะสำเร็จผล แตกต่างจากคนทั่วไปซึ่งไม่มีโฟกัส พวกเขาทำทุกโอกาสที่ผ่านเข้ามาในชีวิต

3. ให้ความสำคัญกับเวลา
เขาใช้เวลาอย่างมีคุณภาพ คิดถึงคุณค่าที่สร้างขึ้นให้กับตัวเองและผู้อื่นในเวลาที่ใช้ไปแต่ละชัวโมงแทนที่จะเป็นรายเดือนหรือรายปี เขาไม่ได้ใช้เวลามากมายกับ Social Media หรือดูทีวี เพราะเขาต้องการใช้เวลาให้เกิดประโยชน์อย่างคุ้มค่าที่สุด

4. ใช้จ่ายน้อยกว่าที่หาได้
เป็นเรื่องง่ายที่ทำได้อยากสำหรับคนส่วนใหญ่ที่มักมีรายจายเพิ่มขึ้นอย่างเกินตัวเมื่อมีรายได้เพิ่มขึ้นเช่น ซื้อรถใหม่ ซื้อบ้านหลังใหญ่ขึ้น Warren Buffet แนะนำว่า “อย่าออมจากเงินที่เหลือจากการใช้จ่าย แต่ต้องใช้จ่ายจากเงินที่เหลือจากการออม”

5. เรียนรู้และพัฒนาตัวเองเสมอ
ยิ่งคุณรู้มากขึ้นคุณยิ่งสามารถประสบความสำเร็จได้มากขึ้น การทำงานหนักอย่างเดียวไม่สามารถทำให้คุณประสบความสำเร็จอย่างสูงได้ แต่คุณสามารถเพิ่มคุณค่าของตัวคุณที่มีต่อผู้อื่นได้ด้วยการเริ่มต้นจากการเพิ่มคุณค่าให้กับตัวคุณเอง เรียนรู้สิ่งใหม่ ฝึกฝนทักษะใหม่และหาประสบการณ์ใหม่ให้กับตัวคุณเองทุกวัน

6. ไม่ยอมแพ้
คนประสบความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ผ่านความล้มเหลวมาแล้วมากมายนับไม่ถ้วนแต่ก็สามารถลุกขึ้นยืนได้เสมอกับทุกครั้งที่ล้ม เมื่อคุณไม่ยอมแพ้คุณสามารถเรียนรู้ พัฒนาตัวเองได้จากทุกความผิดพลาดและความล้มเหลวที่คุณมี

7. ใจกว้างและมีน้ำใจ
พวกเขาไม่เพียงสร้างคุณค่าให้กับตัวเอง แต่พวกเขามุ่งเน้นการสร้างคุณค่าให้กับผู้อื่นเป็นหลักด้วยในขณะเดียวกันด้วยความเชื่อที่ว่า “ยิ่งให้ คุณยิ่งได้”

Sunday, December 8, 2013

รู้ไว้ใช่ว่า....

  • 1. การแลบลิ้นให้น้ำลายยืดลงพื้น 3 หยดจะแก้เผ็ดได้ จริงหรือ เฉลย : จริง อาการเผ็ดเกิดจากสารที่ชื่อ แคปไซซิน ที่อยู่ในพริกเข้าไปจับกับปลายประสาทรับรถที่ลิ้น ร่างกายจะก็จะแสดงปฎิกริยาโดยขับน้ำลายออ
  • 2. ดูดนมยางของเด็กจะแก้อาการนอนกรนได้ จริงหรือ เฉลย: จริง การอมนมยางของเด็กทารกไว้ในปากจะทำให้ลิ้นในปากอยู่นิ่ง เนื้อเยื่อของเพดาน ไม่กระเทือนสั่นไหว ขึ้นจึงไม่เกิดอาการกรนและไม่นอนอ้าปากอีกด้
  • 3. การสูดกลิ่นตัวผู้ชายทำให้หายเครียดได้ จริงหรือ เฉลย: จริง เกลิ่นตัวผู้ชายที่เป็นคนรักนั้นมีสาร ฟีโรโมน ผสมอยู่โดยเฉพาะในผมและผิวของเขา เมื่อสูดดมแล้วจะช่วยลดอาการเครียดและเหนื่อยได้
  • 4. แอปเปิ้ลผลิตกระแสไฟฟ้าได้ เฉลย: จริง ถ้าเสียบแผ่นสังกะสี และแผ่นทองแดง กรดในแอปเปิ้ลจะทำให้เกิดการแตกตัวของไอออน เหมือนแบตเตอรี่ ซึ่งผลไม้ชนิดอื่นเช่น มะนาว เกรปฟรุ๊ต หรือมันฝรั่ง
  • 5. ปัสสาวะมนุษย์ใช้ทำยาสีฟันในสมัยโบราณ จริงหรือ เฉลย: จริง แพทย์ชาวโรมันเชื่อว่า ปัสสาวะมนุษย์ มีคุณสมบัติทำให้ฟันขาว และแข็งแรง ยาสีฟันในยุคดังกล่าว จึงเป็น น้ำยาบ้วนปากที่ทำจากปัสสาวะมนุษย์
  • 6. วัวกระทิงเกลียดสีแดง จริงหรือ เฉลย: ไม่จริง เพราะ วัวเป็นสัตว์ตาบอดสี ไม่สามารถแยกแยะสีต่างๆ ได้ แต่การที่วัวเมื่อถูกล่อด้วยผ้าแดงเหมือนในสนามสู้วัว แล้วก็พุ่งเข้าใส่นั้น เป็นเพราะความรำคาญ
  • 7. เพชรแท้จะไม่ติดสีหมึก จริงหรือ เฉลย: จริง การทดสอบดูเพชรแท้นั้น ให้ป้ายน้ำหมึกสีดำไปบนเพชร ถ้ามีความลื่นออก ไม่ติดอยู่บนเพชร แสดงว่าเป็นเพชรแท้
  • 8. การทะเลาะกันทำให้แผลหายช้า จริงหรือ เฉลย : จริง เพราะ ความเครียดที่เกิดขึ้น ทั้งระหว่าง และหลังจากการทะเลาะกัน จะส่งผลให้ร่างกายลดการผลิตโปรตีนเม็ดเลือด ที่มีประโยชน์ต่อการรักษาบาดแผล
  • 9. แสงแดดอ่อนๆ ช่วยป้องกันโรคซึมเศร้าได้ จริงหรือ เฉลย : จริง เพราะ แสงแดดอ่อนๆ จะช่วยลดการสร้างฮอร์โมน เมลาโตนิน ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ควบคุมการนอนหลับ
  • อ้างถึง
    10. การฟังเพลงช่วยบรรเทาอาการปวดข้อได้ จริงหรือ เฉลย : จริง เพราะการฟังเพลงทำให้สมองหลั่งสารเอนดอร์ฟินส์ ซึ่งเป็นฮอร์โมนสร้างความสุขออกมา ช่วยลดความดันโลหิต และ บรรเทาอาการปวดข้อลงได้

85 ปี 'มิกกี้ เม้าส์' กับ 5 เรื่องที่คุณอาจไม่เคยรู้

1. มิกกี้เม้าส์มีชื่อเดิมว่า มอร์ติเมอร์ เม้าส์
ก่อนที่มิกกี้ เม้าส์ จะโด่งดังไปทั่วโลกนั้น วอลต์ ดิสนีย์ ผู้สรรค์สร้างมิกกี้ เม้าส์ขึ้นมาตั้งใจจะตั้งชื่อว่า มอร์ติเมอร์ เม้าส์ แต่ภรรยาของเขาแนะนำว่าชื่อ มอร์ติเมอร์ นั้นดูจริงจัง หยิ่งผยอง และโอ้อวดเกินไป จีงแนะนำให้เปลี่ยนชื่อเป็นมิกกี้ และหลังจากนั้นอีกไม่นาน ชื่อ มอร์ติเมอร์ ก็กลายเป็นชื่อของตัวละคร 2 ตัวในโลกของมิกกี้ คือ เป็นชื่อลุงของ มินนี่ เม้าส์ และอีกหนึ่งตัวการ์ตูนเป็นศัตรูของมิกกี้ เม้าส์ และปรากฎตัวแค่เพียง 1 ตอนเท่านั้นในปี 1938 ในตอนที่มีชื่อว่า "Mickey's Rival" 

2. มิกกี้ เม้าส์เป็นฮีโร่ป้องกันแก๊สพิษ
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ญี่ปุ่นโจมตีอ่าวเพิร์ลฮาร์เบอร์ รัฐฮาวาย ของสหรัฐอเมริกา ทำให้รัฐบาลสหรัฐฯ ต้องแจกหน้ากากป้องกันแก๊สพิษให้แก่ประชาชน แต่เนื่องจากหน้ากากแบบเดิมนั้นมีขนาดใหญ่เกินไปสำหรับเด็ก และมีรูปลักษณ์ที่น่ากลัวจนเด็กๆ ไม่กล้าใส่ ผู้ผลิตหน้ากากป้องกันแก๊สพิษจึงผลิตหน้ากากเป็นรูปหน้ามิกกี้เม้าส์แทน และให้เด็กๆ คิดว่าหน้ากากนี้เป็นส่วนหนึ่งของการเล่นเกมเพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้เด็กพกหน้ากากถึงแม้ว่าสุดท้ายแล้วหน้ากากมิกกี้เม้าส์จะไม่ได้ใช้จริงก็ตาม
 
3. มิกกี้ เม้าส์เป็นการ์ตูนตัวแรกที่ได้รับการจารึกชื่อบนถนนเกียรติยศของฮอลลีวู้ด
Hollywood Walk of Fame ถือว่าเป็นถนนแห่งเกียรติยศของนักแสดงในวงการภาพยนตร์ และมิกกี้ เม้าส์ก็ได้รับเกียรติให้เป็นดาวอีกหนึ่งดวงบนถนนแห่งนี้ และเป็นตัวการ์ตูนตัวแรกที่ได้รับเกียรตินั้น ชื่อของมิกกี้ถูกบันทึกลงบนถนนสายเกียรติยศนี้เมื่อวันครบรอบ 50 ปีของมิกกี้ เม้าส์ ในปี 1978

4. มิกกี้ เม้าส์มีหนังสือสารานุกรมของตัวเอง
โลกของมิกกี้มีตัวละครมากมาย และกว้างใหญ่มากจนมีการรวบรวมสาระ และตัวละครทั้งหมดที่เกี่ยวกับมิกกี้ เม้าส์ไว้ในสารานุกรมบริตานิก้า (Encyclopedia Britannica) ในปี 1934
5. มิกกี้ และมินนี่เม้าส์ แต่งงานกันในชีวิตจริง
ผู้พากย์เสียงมิกกี้ และมินนี่ เม้าส์ – เวย์น ออลไวน์ และ รุสซี เทย์เลอร์ ทั้งสองคนแต่งงานกันในชีวิตจริง ในปี 1991 พวกเขาทั้งคู่เคยให้สัมภาษณ์ว่าในการพากย์เสียงต้องรับเอาความรู้สึกนึกคิดของตัวละครไว้ในตัวเอง การพากย์มิกกี้ และมินนี่จึงทำให้พวกเขาตกหลุมรักกันได้อย่างง่ายดาย