หลายคนที่มีปัญหาทางสายตาทั้งสั้นและยาว จึงต้องสวมแว่นตาหนาเตอะ จนเพื่อนๆ
ทักว่าน้องแว่นนั้น จากนี้ไปปัญหาเหล่านี้จะหมดไป
ได้นำวิธีบริหารลูกตาเพื่อลดอาการสายตาสั้น และยาวมาฝากกัน
เริ่มที่
ท่าที่ 1 กรอกลูกตามองไปทางซ้ายให้สุด และมองมาทางขวาให้สุดๆ เท่าที่จะทำได้ประมาณ 10 ครั้ง
ท่าที่ 2 เหลือบลูกตาขึ้นมองเพดาน โดยวางหน้าตรงไม่แหงน และเหลือบตาลงล่างสุดมองพื้น ทำขึ้นๆ ลงๆ 10 ครั้ง
ท่าที่ 3 เหลือบตามองขึ้นไปที่ปลายคิ้วซ้าย และลากตาเหลือบลงมามองที่แก้มขวาทำ 10 ครั้ง
ท่าที่ 4 เหลือบตามองขึ้นไปที่ปลายคิ้วขวา และลากตาเหลือบลงมาที่แก้มซ้าย
ท่าที่ 5 กรอกลูกตาหมุนไปเป็นวงกลมซ้าย-ขวา ทำข้างละ 10 ครั้ง
ท่า
ที่ 6 เป็นการเพ่งลูกตาเพื่อบริหารกล้ามเนื้อทั้ง 6 มัดพร้อมกัน
โดยนั่งบนเก้าอี้ วัดความสูงจากยอดศีรษะตนเองถึงก้นที่นั่งบนเก้าอี้ เช่น
วัดได้ 70 ซม.เอาความยาว 70 ซม. วัดจากลูกตาไปที่กำแพงในท่านั่งเก้าอี้
แล้วจุดหรือทำสัญลักษณ์ไว้ที่กำแพง
ระดับเดียวกับลูกตาในขณะที่นั่งเก้าอี้จากนั้นจึงค่อยๆ
เพ่งมองจุดหรือสัญลักษณ์นั้ น ห้ามกระพริบตาจนรู้สึกแสบตา
น้ำตาเอ่อออกมาจึงค่อยกระพริบตาทำหลายๆครั้ง จะรู้สึกว่าสายตามองชัดเจนขึ้น
ท่าสุดท้าย คือหลับตาทั้งสองข้าง
แล้วเอานิ้วชี้ทั้งสองข้างวางเหนือหัวคิ้วแต่ละข้างแล้วค่อยๆ
กดนวดคิ้วและรอบดวงตาเพื่อเป็นการผ่อนคลายกล้ามเนื้อที่อยู่รอบนอกของดวงตา
วิธีเหล่านี้นอกจากลดปัญหาสายตาสั้นกับสายตายาว
ช่วยให้ไม่ต้องเปลี่ยนแว่นบ่อยๆแล้ว
การบริหารดวงตายังช่วยลดและป้องกันอาการบกพร่องที่จอรับภาพได้อีกด้วย
(อาการ
บกพร่องที่จอรับภาพคือรู้สึกว่าตามีแสงแปลบปลาบหรือเห็นหิ่งห้อยวิ่งไปมา
หรือเห็นเป็นแสงสว่างวงๆ วาบๆ บ่อยๆอาการเหล่านี้หากปล่อยไว้จอรับภาพ
อาจพิการหรือถึงกับมองไม่เห็นได้) การบริหารลูกตาอย่างสม่ำเสมอทุกๆ วัน
จะช่วยให้เลือดมาเลี้ยงจอรับภาพมากขึ้น
อาการบกพร่องจะน้อยลงหรืออาจหายไปได้ และสำหรับคนที่สายตาปกติดีอยู่แล้ว
การบริหารวิธีนี้ก็จะช่วยให้กล้ามเนื้อตาแข็งแรง และนัยน์ตาสดใสได้อีกด้วย
ที่มา ชีวจิต
Tuesday, May 15, 2012
เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับฝัน
พูดถึงเรื่องฝัน แน่นอนว่าทุกคนต้องฝัน จะฝันดีฝันร้ายก็ตามแต่
วันนี้ขอนำเรื่องที่น่ารู้เกี่ยวกับ การฝันมา Post ให้พวกเราอ่านกันจ้า
1. ความฝันของคนตาบอด

คน ตาบอดที่เคยมองเห็นมาก่อน จะสามารถมองเห็นภาพในความฝันได้ แต่สำหรับคนตาบอดแต่กำเนิด เขาจะไม่เห็นภาพในความฝัน แต่ความฝันของเขาจะเกี่ยวของกับประสาทสัมผันอื่นๆ อันได้แก่รส กลิ่น เสียง สัมผัส และความรู้สึกภายในจิตใจ ซึ่งเป็นเรื่องยากที่คนปกติจะเข้าใจ
2. 90% ของความฝันจะถูกลืม

ภายใน 5 นาทีหลังจากที่เราตื่น ครึ่งหนึ่งของความฝันจะถูกลืม และภายใน 10 นาที เราจะลืม 90% ของเรื่องที่เราฝัน
Samuel Taylor Coleridge กวีที่มีชื่อเสียงชาวอังกฤษ ตื่นจากความฝันและบันทึกเป็นบทกวีได้ 54 บรรทัด ก็ถูกขัดจังหวะจากแขกที่มาพบ เมื่อส่งแขกแล้ว เขาก็กลับมาเขียนบทกวีต่อ แต่ปรากฎว่าเขาลืมความฝันของเขาไปหมดเสียแล้ว บทกวีที่เขียนไม่เสร็จนี้ชื่อว่า Kubla Khan ซึ่งเป็นหนึ่งในบทกวีที่มีชื่อเสียงที่สุดของอังกฤษ
3. ทุกๆ คนต้องฝัน

มนุษย์ ไม่ว่าชายหรือหญิงจะต้องฝัน (เว้นแต่ในรายที่มีความผิดปกติทางจิตอย่างสุดๆ) ชายและหญิงจะมีความฝันที่ค่อนข้างแตกต่างกัน ผู้ชายมักจะฝันถึงเรื่องของผู้ชายด้วยกัน ขณะที่ในความฝันของผู้หญิงจะเกี่ยวข้องกับทั้งผู้ชายและผู้หญิง
4. การฝันช่วยป้องกันปัญหาทางจิต

จาก การศึกษาเกี่ยวกับการนอน พบว่านักศึกษาที่ถูกปลุกในแต่ละครั้งที่เริ่มฝัน ตลอดช่วงการนอน 8 ชั่วโมงเต็ม เป็นเวลา 3 วันติดต่อกัน จะมีอาการขาดสมาธิ หงุดหงิดง่าย และเกิดภาพหลอน และอาการทางจิต แต่เมื่อได้นอนอย่างปกติ
สมองก็จะสั่งงานให้มีการพักผ่อนในช่วง REM (ช่วงที่เกิดการฝัน) เพิ่มขึ้นเป็นการชดเชย
5. เราจะฝันแต่สิ่งที่เรารู้จัก

เรา มักจะรู้สึกว่าในฝันของเราจะพบคนแปลกหน้าเต็มไปหมด แต่ในความเป็นจริงแล้วคนแปลกหน้าเหล่านั้น ไม่ได้ถูกวาดภาพขึ้นเอง แต่เป็นใบหน้าของผู้คนที่เราเคยพบเห็นตลอดชีวิตที่ผ่านมาของเรา โดยที่เราไม่รู้จักเขา คนที่วิ่งถือมีดตามฆ่าเรา
ในความฝันอาจจะเป็นเพียงคนที่เราเคยเดินชนในวัยเด็ก ยังมีบุคคลิกของคนเป็นร้อยเป็นพันให้เรานำไปฝันได้ตลอดเวลาครับ
6. ทุกคนไม่ได้ฝันเป็นภาพสี

ประมาณ 12% ของคนสายตาปกติจะฝันเเป็นภาพขาวดำ แต่ theme ของความฝันของคนเราจะคล้ายๆกัน เช่นไปสาย ถูกตามล่า ฟันหลุด เหาะได้ ฝันถึงคนตายมาหา ฝันถึงประสพการณ์ทางเพศ
7.ความฝันไม่ได้เป็นไปตามความเป็นจริง

ปกติแล้วความฝันจะเป็นการเปรียบเทียบในเชิงสัญญลักษณ์ เช่นการเปรียบเทียบการเดินของมด
เป็นแถวยาวกับการทำงานของเครื่องจักร การฝัีนถึงพระอาทิตย์ตก ก็คือพระอาทิตย์ตกถูกนำไปเป็นสัญญลักษณ์เปรียบเทียบกับสิ่งอื่น
8. ในระหว่างการงดสูบบุหรี่มักจะมีการฝันที่เกี่ยวข้องกับบุหรึ่

เป็นอาการปกติของผู้ที่เริ่มงดบุหรี่ โดยเฉพาะผู้ที่สูบบุหรี่มาเป็นเวลานาน เนื่องมาจากการลดลงของนิโคตินในร่างกาย
9. สภาพแวดล้อมภายนอกสามารถเข้าไปในความฝันของเรา

เรา อาจได้ยินเสียงรถ และนำำเสียงรถเข้าไปผูกเป็นเรื่องราวภายในฝันของเรา หรือฝันว่าดื่มน้ำเนื่องจากเราเกิดความกระหายน้ำ แต่สักครู่ก็จะรู้สึกหิวน้ำอีกและต้องดื่มน้ำอีก จนเราสะดุ้งตื่นขึ้นมาและพบว่าหิวน้ำจริงๆ
10.ในระหว่างฝันร่างกายเราจะหยุดการเคลื่อนไหว

อาจ เป็นเพราะป้องกันปฏิกิริยาของร่างกายเราที่จะตอบสนองกับความฝัน โดยสมองจะมีการหลั่งฮอร์โมน ที่ทำให้นอนหลับและระบบประสาทจะผ่อนคลาย และหยุดการเคลื่อนไหว
11. คนเราจะไม่ฝัน ในช่วงที่มีการกรน
12.เด็กจะไม่ฝันเกี่ยวกับตัวของเขาเอง จนกว่าอายุ 3-4 ปี
13.เด็กเล็กจะใช้เวลา 50% ของการนอนสำหรับการฝัน สำหรับผู้ใหญ่จะใช้ 20% และในคนชรา จะใช้เวลาในช่วงการฝันเพียง 15% เท่านั้น
TIPS : เพลง Yesterday ของ Beatles เกิดขึ้นมาจากความฝันของ Paul Mccartney (หนึ่งในสมาชิกของ Beatles)
นิยายสยองขวัญ Dr. Jeckyll and Mr. Hyde มาจากความฝันของ Robert Louis Stevenson
นิยายสยองขวัญอีกเรื่อง Frankenstein ก็เกิดขึ้นในความฝันของนักประพันธ์ที่ชื่อว่า Mary Shelley
1. ความฝันของคนตาบอด

คน ตาบอดที่เคยมองเห็นมาก่อน จะสามารถมองเห็นภาพในความฝันได้ แต่สำหรับคนตาบอดแต่กำเนิด เขาจะไม่เห็นภาพในความฝัน แต่ความฝันของเขาจะเกี่ยวของกับประสาทสัมผันอื่นๆ อันได้แก่รส กลิ่น เสียง สัมผัส และความรู้สึกภายในจิตใจ ซึ่งเป็นเรื่องยากที่คนปกติจะเข้าใจ
2. 90% ของความฝันจะถูกลืม

ภายใน 5 นาทีหลังจากที่เราตื่น ครึ่งหนึ่งของความฝันจะถูกลืม และภายใน 10 นาที เราจะลืม 90% ของเรื่องที่เราฝัน
Samuel Taylor Coleridge กวีที่มีชื่อเสียงชาวอังกฤษ ตื่นจากความฝันและบันทึกเป็นบทกวีได้ 54 บรรทัด ก็ถูกขัดจังหวะจากแขกที่มาพบ เมื่อส่งแขกแล้ว เขาก็กลับมาเขียนบทกวีต่อ แต่ปรากฎว่าเขาลืมความฝันของเขาไปหมดเสียแล้ว บทกวีที่เขียนไม่เสร็จนี้ชื่อว่า Kubla Khan ซึ่งเป็นหนึ่งในบทกวีที่มีชื่อเสียงที่สุดของอังกฤษ
3. ทุกๆ คนต้องฝัน

มนุษย์ ไม่ว่าชายหรือหญิงจะต้องฝัน (เว้นแต่ในรายที่มีความผิดปกติทางจิตอย่างสุดๆ) ชายและหญิงจะมีความฝันที่ค่อนข้างแตกต่างกัน ผู้ชายมักจะฝันถึงเรื่องของผู้ชายด้วยกัน ขณะที่ในความฝันของผู้หญิงจะเกี่ยวข้องกับทั้งผู้ชายและผู้หญิง
4. การฝันช่วยป้องกันปัญหาทางจิต

จาก การศึกษาเกี่ยวกับการนอน พบว่านักศึกษาที่ถูกปลุกในแต่ละครั้งที่เริ่มฝัน ตลอดช่วงการนอน 8 ชั่วโมงเต็ม เป็นเวลา 3 วันติดต่อกัน จะมีอาการขาดสมาธิ หงุดหงิดง่าย และเกิดภาพหลอน และอาการทางจิต แต่เมื่อได้นอนอย่างปกติ
สมองก็จะสั่งงานให้มีการพักผ่อนในช่วง REM (ช่วงที่เกิดการฝัน) เพิ่มขึ้นเป็นการชดเชย
5. เราจะฝันแต่สิ่งที่เรารู้จัก

เรา มักจะรู้สึกว่าในฝันของเราจะพบคนแปลกหน้าเต็มไปหมด แต่ในความเป็นจริงแล้วคนแปลกหน้าเหล่านั้น ไม่ได้ถูกวาดภาพขึ้นเอง แต่เป็นใบหน้าของผู้คนที่เราเคยพบเห็นตลอดชีวิตที่ผ่านมาของเรา โดยที่เราไม่รู้จักเขา คนที่วิ่งถือมีดตามฆ่าเรา
ในความฝันอาจจะเป็นเพียงคนที่เราเคยเดินชนในวัยเด็ก ยังมีบุคคลิกของคนเป็นร้อยเป็นพันให้เรานำไปฝันได้ตลอดเวลาครับ
6. ทุกคนไม่ได้ฝันเป็นภาพสี

ประมาณ 12% ของคนสายตาปกติจะฝันเเป็นภาพขาวดำ แต่ theme ของความฝันของคนเราจะคล้ายๆกัน เช่นไปสาย ถูกตามล่า ฟันหลุด เหาะได้ ฝันถึงคนตายมาหา ฝันถึงประสพการณ์ทางเพศ
7.ความฝันไม่ได้เป็นไปตามความเป็นจริง

ปกติแล้วความฝันจะเป็นการเปรียบเทียบในเชิงสัญญลักษณ์ เช่นการเปรียบเทียบการเดินของมด
เป็นแถวยาวกับการทำงานของเครื่องจักร การฝัีนถึงพระอาทิตย์ตก ก็คือพระอาทิตย์ตกถูกนำไปเป็นสัญญลักษณ์เปรียบเทียบกับสิ่งอื่น
8. ในระหว่างการงดสูบบุหรี่มักจะมีการฝันที่เกี่ยวข้องกับบุหรึ่

เป็นอาการปกติของผู้ที่เริ่มงดบุหรี่ โดยเฉพาะผู้ที่สูบบุหรี่มาเป็นเวลานาน เนื่องมาจากการลดลงของนิโคตินในร่างกาย
9. สภาพแวดล้อมภายนอกสามารถเข้าไปในความฝันของเรา

เรา อาจได้ยินเสียงรถ และนำำเสียงรถเข้าไปผูกเป็นเรื่องราวภายในฝันของเรา หรือฝันว่าดื่มน้ำเนื่องจากเราเกิดความกระหายน้ำ แต่สักครู่ก็จะรู้สึกหิวน้ำอีกและต้องดื่มน้ำอีก จนเราสะดุ้งตื่นขึ้นมาและพบว่าหิวน้ำจริงๆ
10.ในระหว่างฝันร่างกายเราจะหยุดการเคลื่อนไหว

อาจ เป็นเพราะป้องกันปฏิกิริยาของร่างกายเราที่จะตอบสนองกับความฝัน โดยสมองจะมีการหลั่งฮอร์โมน ที่ทำให้นอนหลับและระบบประสาทจะผ่อนคลาย และหยุดการเคลื่อนไหว
11. คนเราจะไม่ฝัน ในช่วงที่มีการกรน
12.เด็กจะไม่ฝันเกี่ยวกับตัวของเขาเอง จนกว่าอายุ 3-4 ปี
13.เด็กเล็กจะใช้เวลา 50% ของการนอนสำหรับการฝัน สำหรับผู้ใหญ่จะใช้ 20% และในคนชรา จะใช้เวลาในช่วงการฝันเพียง 15% เท่านั้น
TIPS : เพลง Yesterday ของ Beatles เกิดขึ้นมาจากความฝันของ Paul Mccartney (หนึ่งในสมาชิกของ Beatles)
นิยายสยองขวัญ Dr. Jeckyll and Mr. Hyde มาจากความฝันของ Robert Louis Stevenson
นิยายสยองขวัญอีกเรื่อง Frankenstein ก็เกิดขึ้นในความฝันของนักประพันธ์ที่ชื่อว่า Mary Shelley
12 วิธีแก้ปัญหามือถือตกน้ำ
1. เวลาเจอปัญหาทำนองนี้ หยุดจิตกระเจิง แล้วตั้งสติให้ดี อย่าตกใจจนเกินไป แล้วเอาแต่โวยวาย จนทำอะไรต่อไม่ได้
2. หยุดแล้วคิด ว่าจะต้องแก้ปัญหายังไง
3. เมื่อ
นำ มือถือ ออกมาจากน้ำได้แล้ว จำให้ขึ้นใจ
ห้ามกดปุ่มเปิด-ปิดเครื่องโดยเด็ดขาด
เพราะขณะที่อุปกรณ์อิเลคทรอนิกส์ยังเปียกน้ำ หรือชื้น การกดปุ่ม
เปิด-ปิดเครื่อง อาจทำให้เกิดการลัดวงจร และเสียหายหนักกว่าเดิม
หรือถึงขั้นซี๊ม่องเท่งถาวรได้
4. รีบถอดส่วนประกอบพื้นฐานต่างๆ ของ มือถือ ออกจากกันโดยด้วย ไม่ว่าจะเป็น ซิมการ์ด, แบตเตอรี่, หน้ากาก, ฝาหลัง, ฯลฯ
5. เมื่อ
ถอดส่วนประกอบต่างๆ เท่าที่ถอดได้เรียบร้อยแล้ว
อาจใช้การสลัดน้ำด้วยแรงพอประมาณ หรือนำผ้า (ชนิดที่ไม่มีขน)
หรือกระดาษทิชชู (คุณภาพดี ไม่เป็นขุย) มาซับน้ำที่เกาะอยู่ตามจุดต่างๆ
ให้แห้งที่สุดเท่าที่จะทำได้ หรืออาจใช้พัดลมช่วยเป่าด้วยก็ได้
ซึ่งขั้นตอนนี้อาจใช้เวลาประมาณ 1-2 วัน
6. พึง
ระวังและจำไว้คือ
ไม่ควรใช้ไดร์เป่าผมเป่าให้แห้งเด็ดขาด เพราะลมจากไดร์เป่าผมมีความร้อนสูง
อาจจะทำให้เกิดความเสียหายต่ออุปกรณ์
หรือวงจรอิเล็กทรอนิกส์ภายในได้โดยง่าย เว้นแต่เสียว่าจะไดร์จะไฮโซ
มีแบบเป่าลมเย็น อันนั้นก็ใช้ไปเถอะ น้ำจะได้ออกมาไวๆ
7.
และข้อพึงจำอีกข้อ คือไม่ควรนำ มือถือ และอุปกรณ์ต่างๆ ไปตากแดด
เพื่อหวังให้แห้งเร็วขึ้น เพราะความร้อนจากแสงแดดนั้นสูงเกินไปสำหรับ
มือถือ และอุปกรณ์ต่างๆจะรับไว้ จากที่มีโอกาสจะหาย
ทีนี้โทรศํพท์จะตายไปเลย 555
8. เมื่อ
สังเกตุว่า มือถือ และอุปกรณ์ต่างๆ แห้งพอสมควรแล้ว ก็ให้นำ มือถือ
และอุปกรณ์ ไปวางทิ้งไว้ในถังข้าวสาร
หรือในถุงพลาสติกที่มีซิลิก้าเจลบรรจุไว้
ทั้งนี้เพื่อช่วยดูดความชื้นที่อาจจะยังหลงเหลืออยู่ในบางส่วนของอุปกรณ์ที่
ไม่สามารถเข้าถึงได้ โดยอาจทิ้งไว้เป็นระยะเวลาประมาณ 2-3 วัน
เพื่อให้แน่ใจว่าความชื้นได้หายไปหมดแล้วจริงๆ
9. เมื่อ
ทุกขั้นตอนข้างต้นผ่านพ้นไปด้วยดี และแน่ใจว่าตัวเครื่อง, อุปกรณ์ทุกอย่าง
รวมถึงทุกซอกทุกมุม ทั้งภายใน และภายนอก ปราศจากน้ำและความชื้นแล้ว
ก็ให้นำซิมการ์ด, แบตเตอรี่, หน้ากาก, ฝาหลัง Blah Blah Blah
มาประกอบกลับเข้าที่ตามเดิม
10. หลังจากประกอบตัวเครื่องเรียบร้อยดีแล้ว ยังไม่ควรชาร์จแบตเตอรี่ทันที เนื่องจากวงจรภายในอาจจะยังไม่พร้อมที่จะรับกระแสไฟฟ้า
11. ถึง
เวลาสวดภาวนาแล้วลองเปิดเครื่อง
หากสามารถเปิดได้ก็ให้ตรวจสอบอาการผิดปกติอื่นๆ ในการใช้งานพื้นฐานโดยทันที
เช่น หน้าจอติดหรือไม่, โทรออกโทรเข้าได้หรือไม่, ลำโพงดังหรือไม่,
ปุ่มกดใช้งานได้ทุกปุ่มหรือไม่, กล้องถ่ายได้หรือไม่,
ตรวจเจอการ์ดหน่วยความจำหรือไม่, ยังใช้งานเมนูหรือฟังก์ชันต่างๆ
ได้ปกติหรือไม่ ฯลฯ
12. หากลอง
ใช้งานดูแล้วสามารถใช้งานได้ตามปกติ ไม่พบปัญหาใดๆ ก็จงยิ้ม ทำใจให้สบาย
แล้วก็ถือว่าเป็นโชคดีอย่างมากจริงๆที่ไม่ต้องซื้อเครื่องใหม่
แต่อย่างไรก็ดี ไม่ว่าจะโชคดีจะไม่บังเกิด หรือมีปัญหาใดๆตามมาในภายหลัง
ทางที่ดีก็ควรจะต้องนำเครื่องไปไปให้ศูนย์ หรือช่างผู้ชำนาญ
ช่วยจัดการให้แล้วล่ะ
ความลับของมือถึงที่คุณอาจไม่เคยรู้
1. หมายเลขสากลฉุกเฉิน 112 ใช้ได้ทั่วโลก ถ้าเกิดเราหลงไปอยู่ในเขตที่ไม่มีสัญญาณเลย แต่มีเหตุด่วนเหตุร้ายให้กด 112 แล้วมันจะหาเบอร์ให้เองอัตโนมัติแม้แต่เราล็อคปุ่ม ก็ยังกดเบอร์ นี้ได้ ทีนี้เราก็รอดตายแล้ว 2. ใช้ในกรณีที่ลืมกุญแจไว้ในรถ … สำหรับรถที่ใช้ Remote Key ถ้ารถล็อคไปแล้ว แต่เรามีกุญแจสำรองอยู่ที่บ้าน ให้โทรไปหาคนที่อยู่ที่บ้านด้วยมือถือ
( เราต้องโทรไปหาเบอร์มือถือของเขาด้วยนะ) เมื่อเขารับแล้วให้เราบอกเขา ให้กดปุ่ม unlock บนกุญแจสำรอง ในขณะที่เราถือมือถือ ให้ห่างจากประตูรถประมาณ 1 ฟุต
( คนที่อยู่บ้านที่เราวานให้กด ต้องเอากุญแจไปจ่อใกล้กับมือถือของเขาในขณะที่กดปุ่ม) ประตูรถก็จะเปิดออก เหมือนเรากดปุ่มรีโมทด้วยตัวเอง ระยะทางไม่มีปัญหา
แม้รถกับบ้านจะอยู่ห่างกันเป็นร้อยๆ กม. ก็ตาม
3. กรณีแบ็ตใกล้จะหมด * 3370# สำหรับมือถือ Nokia ถ้าเกิดถ่านเหลือน้อยเต็มที จนใกล้ดับแต่เราจำเป็นต้องโทรออกให้กด * 3370# มันจะรีดพลังสำรองที่ซ่อนออกมา แล้วแสดงให้เห็นว่า เพิ่มพลังถ่านให้ขึ้นมาอีก 50% และมันจะชดเชยส่วนสำรอง นี้ในการชาร์จแบตครั้งต่อไป
4. ถ้าโทรศัพท์หายต้องการทำให้ใช้ไม่ได้ตลอดไป ในกรณีนี้เราต้องใช้ หมายเลข serial numberประจำเครื่อง ซึ่งมี 15- 17 หน่วย การที่จะทราบหมายเลขนี้ กด * #06# แล้วหมายเลขประจำเครื่อง ก็จะขึ้นมาให้เห็นทันทีเหมือนเล่นกล จดไว้แล้วเก็บไว้ให้ดี …. ที่ นี้ถ้ามือถือหายหรือตกหล่น ให้โทรไปที่ศูนย์ แล้วแจ้งหมายเลขให้เขาไป เขาก็จะบล็อคเครื่องของเราให้ แล้วทีนี้มือถือที่หายไปจะใช้ไม่ได้อีกเลย ถึงแม้ว่าคนขโมยไปจะเปลี่ยน sim card มันก็จะยัง ใช้ไม่ได้อยู่ดี
( เราต้องโทรไปหาเบอร์มือถือของเขาด้วยนะ) เมื่อเขารับแล้วให้เราบอกเขา ให้กดปุ่ม unlock บนกุญแจสำรอง ในขณะที่เราถือมือถือ ให้ห่างจากประตูรถประมาณ 1 ฟุต
( คนที่อยู่บ้านที่เราวานให้กด ต้องเอากุญแจไปจ่อใกล้กับมือถือของเขาในขณะที่กดปุ่ม) ประตูรถก็จะเปิดออก เหมือนเรากดปุ่มรีโมทด้วยตัวเอง ระยะทางไม่มีปัญหา
แม้รถกับบ้านจะอยู่ห่างกันเป็นร้อยๆ กม. ก็ตาม
3. กรณีแบ็ตใกล้จะหมด * 3370# สำหรับมือถือ Nokia ถ้าเกิดถ่านเหลือน้อยเต็มที จนใกล้ดับแต่เราจำเป็นต้องโทรออกให้กด * 3370# มันจะรีดพลังสำรองที่ซ่อนออกมา แล้วแสดงให้เห็นว่า เพิ่มพลังถ่านให้ขึ้นมาอีก 50% และมันจะชดเชยส่วนสำรอง นี้ในการชาร์จแบตครั้งต่อไป
4. ถ้าโทรศัพท์หายต้องการทำให้ใช้ไม่ได้ตลอดไป ในกรณีนี้เราต้องใช้ หมายเลข serial numberประจำเครื่อง ซึ่งมี 15- 17 หน่วย การที่จะทราบหมายเลขนี้ กด * #06# แล้วหมายเลขประจำเครื่อง ก็จะขึ้นมาให้เห็นทันทีเหมือนเล่นกล จดไว้แล้วเก็บไว้ให้ดี …. ที่ นี้ถ้ามือถือหายหรือตกหล่น ให้โทรไปที่ศูนย์ แล้วแจ้งหมายเลขให้เขาไป เขาก็จะบล็อคเครื่องของเราให้ แล้วทีนี้มือถือที่หายไปจะใช้ไม่ได้อีกเลย ถึงแม้ว่าคนขโมยไปจะเปลี่ยน sim card มันก็จะยัง ใช้ไม่ได้อยู่ดี
ร่างกายทำอะไรบ้างใน 24 ชั่วโมง
นักวิทยาศาสตร์ชาวรัสเซียได้วิจัยและค้นคว้าร่างกายของมนุษย์เรา
ว่าทำอะไรบ้างในแต่ละชั่วโมง
ตอนดึก (เวลา 01.00-04.00)
01.00 น. คนส่วนใหญ่จะนอนหลับ
ร่างกายจะมีความรู้สึกไวต่อความเจ็บปวดมาก
02.00 น. นอกจากตับแล้ว ส่วนต่างๆ
ของร่างกายจะเคลื่อนไหวช้ามาก
03.00 น. ร่างกายทั้งหมดจะพักผ่อน กล้ามเนื้อจะผ่อนคลาย
ความดันจะต่ำ ชีพจรจะเต้นช้า การหายใจก็จะช้า
*04.00 น. สมองได้รับเลือดไปหล่อเลี้ยงน้อยมาก
ผู้คนจำนวนไม่น้อยที่ตายไปในระยะเวลานี้
ตอนเช้า (05.00-10.00)
05.00 น. ไตจะไม่ทำหน้าที่กรอง
เนื่องจากเราได้พักผ่อนมาระยะเวลาหนึ่ง ดังนั้น
ในเวลาตื่นนอนอารมณ์จะรู้สึกสดชื่นเป็นพิเศษ
06.00 น. ความดันเลือดจะสูงขึ้น หัวใจจะเต้นเร็วขึ้น
07.00 น. ภูมิต้านทานโรคในช่วงนี้จะดีมาก
เพราะร่างกายได้พักผ่อนมาแล้ว
*08.00 น. ตับจะทำหน้าที่ขับพิษออกจากร่างกาย
ในช่วงนี้ไม่ควรดื่มสุรา
09.00 น. จิตใจ อารมณ์ การทำงานจะดีมากในช่วงนี้
10.00 น. เป็นช่วงที่ร่างกายและสุขภาพจะดีมาก
เหมาะที่จะทำงาน
ตอนเที่ยงถึงเย็น (11.00-18.00)
11.00 น. เป็นช่วงที่ขยันขันแข็งในการทำงาน
ร่างกายยังไม่อ่อนเพลีย
12.00 น. ช่วงตอนที่จะหยุดงาน
ทางที่ดีที่สุดอย่าเพิ่งรับประทานอาหาร ควรจะรอช้ากว่าไปอีกสักหน่อย
แล้วทานเอาช่วงเวลาประมาณ 12.30 หรือ 13.00น. ก็จะดี
13.00 น. ตับจะพักผ่อน
เนื่องจากเวลาการทำงานที่ดีได้ผ่านไปแล้ว
ร่างกายในช่วงนี้จะเริ่มรู้สึกอ่อนเพลีย
*14.00 น. เป็นช่วงระยะเวลาที่ร่างกายรู้สึกอืดอาด
เชื่องช้าที่สุดในระยะหนึ่งของแต่ละวัน
15.00 น. ระบบต่างๆ ของร่างกายจะมีปฏิกิริยาที่ไวมาก
สมรรถภาพของพละกำลังเริ่มฟื้นฟูขึ้น
16.00 น. ในกระแสเลือด จะมีน้ำตาลเพิ่มขึ้น
แต่ก็จะลดลงอย่างรวดเร็ว
17.00 น. สมรรถภาพในการทำงานจะเพิ่มขึ้น
จะเห็นได้จากนักกีฬาที่ออกกำลังกาย จะมีเรี่ยวแรงเพิ่มมากขึ้น
18.00 น. ความรู้สึกต่ออาการเจ็บปวดจะลดน้อยลง
ขอให้เพิ่มการออกกำลังกาย
ตอนกลางคืนมืดๆ (19.00-00.00)
*19.00 น. ความดันของเลือดจะเพิ่มสูงขึ้น
อารมณ์จะไม่ค่อยดีนัก มักจะเกิดงขึ้นได้ด้วยสาเหตุเล็กๆน้อยๆ
20.00 น. น้ำหนักตัวจะรู้สึกเพิ่มมากขึ้น
สะท้อนออกถึงความผิดปกติอย่างรวดเร็ว
*21.00 น. อารมณ์จะกลับเข้าสู่สภาพปกติ ความจำจะดีขึ้น
สามารถคิดสิ่งต่างๆ ออกได้
22.00 น. ในกระแสโลหิต จะเต็มไปด้วยเม็ดเลือดขาว
อุณหภูมิในร่างกายจะลดต่ำลง
*23.00 น. ร่างกายตระเตรียมพักผ่อน
เพื่อปรับปรุงซ่อมแซมเซลล์ต่างๆ ที่สึกหรอ
24.00 น. เข้าสู่ชั่วโมงแห่งการหลับไหล
ว่าทำอะไรบ้างในแต่ละชั่วโมง
ตอนดึก (เวลา 01.00-04.00)
01.00 น. คนส่วนใหญ่จะนอนหลับ
ร่างกายจะมีความรู้สึกไวต่อความเจ็บปวดมาก
02.00 น. นอกจากตับแล้ว ส่วนต่างๆ
ของร่างกายจะเคลื่อนไหวช้ามาก
03.00 น. ร่างกายทั้งหมดจะพักผ่อน กล้ามเนื้อจะผ่อนคลาย
ความดันจะต่ำ ชีพจรจะเต้นช้า การหายใจก็จะช้า
*04.00 น. สมองได้รับเลือดไปหล่อเลี้ยงน้อยมาก
ผู้คนจำนวนไม่น้อยที่ตายไปในระยะเวลานี้
ตอนเช้า (05.00-10.00)
05.00 น. ไตจะไม่ทำหน้าที่กรอง
เนื่องจากเราได้พักผ่อนมาระยะเวลาหนึ่ง ดังนั้น
ในเวลาตื่นนอนอารมณ์จะรู้สึกสดชื่นเป็นพิเศษ
06.00 น. ความดันเลือดจะสูงขึ้น หัวใจจะเต้นเร็วขึ้น
07.00 น. ภูมิต้านทานโรคในช่วงนี้จะดีมาก
เพราะร่างกายได้พักผ่อนมาแล้ว
*08.00 น. ตับจะทำหน้าที่ขับพิษออกจากร่างกาย
ในช่วงนี้ไม่ควรดื่มสุรา
09.00 น. จิตใจ อารมณ์ การทำงานจะดีมากในช่วงนี้
10.00 น. เป็นช่วงที่ร่างกายและสุขภาพจะดีมาก
เหมาะที่จะทำงาน
ตอนเที่ยงถึงเย็น (11.00-18.00)
11.00 น. เป็นช่วงที่ขยันขันแข็งในการทำงาน
ร่างกายยังไม่อ่อนเพลีย
12.00 น. ช่วงตอนที่จะหยุดงาน
ทางที่ดีที่สุดอย่าเพิ่งรับประทานอาหาร ควรจะรอช้ากว่าไปอีกสักหน่อย
แล้วทานเอาช่วงเวลาประมาณ 12.30 หรือ 13.00น. ก็จะดี
13.00 น. ตับจะพักผ่อน
เนื่องจากเวลาการทำงานที่ดีได้ผ่านไปแล้ว
ร่างกายในช่วงนี้จะเริ่มรู้สึกอ่อนเพลีย
*14.00 น. เป็นช่วงระยะเวลาที่ร่างกายรู้สึกอืดอาด
เชื่องช้าที่สุดในระยะหนึ่งของแต่ละวัน
15.00 น. ระบบต่างๆ ของร่างกายจะมีปฏิกิริยาที่ไวมาก
สมรรถภาพของพละกำลังเริ่มฟื้นฟูขึ้น
16.00 น. ในกระแสเลือด จะมีน้ำตาลเพิ่มขึ้น
แต่ก็จะลดลงอย่างรวดเร็ว
17.00 น. สมรรถภาพในการทำงานจะเพิ่มขึ้น
จะเห็นได้จากนักกีฬาที่ออกกำลังกาย จะมีเรี่ยวแรงเพิ่มมากขึ้น
18.00 น. ความรู้สึกต่ออาการเจ็บปวดจะลดน้อยลง
ขอให้เพิ่มการออกกำลังกาย
ตอนกลางคืนมืดๆ (19.00-00.00)
*19.00 น. ความดันของเลือดจะเพิ่มสูงขึ้น
อารมณ์จะไม่ค่อยดีนัก มักจะเกิดงขึ้นได้ด้วยสาเหตุเล็กๆน้อยๆ
20.00 น. น้ำหนักตัวจะรู้สึกเพิ่มมากขึ้น
สะท้อนออกถึงความผิดปกติอย่างรวดเร็ว
*21.00 น. อารมณ์จะกลับเข้าสู่สภาพปกติ ความจำจะดีขึ้น
สามารถคิดสิ่งต่างๆ ออกได้
22.00 น. ในกระแสโลหิต จะเต็มไปด้วยเม็ดเลือดขาว
อุณหภูมิในร่างกายจะลดต่ำลง
*23.00 น. ร่างกายตระเตรียมพักผ่อน
เพื่อปรับปรุงซ่อมแซมเซลล์ต่างๆ ที่สึกหรอ
24.00 น. เข้าสู่ชั่วโมงแห่งการหลับไหล
อ้วนได้ ก็ ผอมได้ >> แค่เปลี่ยนนิสัยก็ผอมได้ในพริบตา
แค่เปลี่ยนนิสัยคุณก็กลายเป็นสาวหุ่นดีกับเค้าได้แล้ว ลองทำดูแล้วสาวๆ จะร้องว่า "เมื่อก่อนชั้นมัวอะไรอยู่เนี่ย..."
Dress Yourself slim
อย่า
ทำร้ายตัวเองด้วยการทำผมทรงเปิดหน้า
เพราะมันจะเปิดโลกให้เห็นความกางของสองแก้มไปด้วย
แต่คุณควรจะเปลี่ยนมาทำผมแสกข้างแล้วปล่อยผมให้ลงปิดแก้มไว้
จะได้กลายเป็นสาวหน้าเรียวกับเค้าเสียที
ชุด
สีสว่างๆ อย่างสีเหลือ สีไข่ไก่ จะทำให้ไซส์น้องช้างของคุณดูใหญ่ขึ้น
แต่เสื้อผ้าสีเข้มๆ หม่นๆ อย่างสีน้ำเงิน สีกรมท่า สีเขียว
จะเป็นตัวช่วยที่บีบตัวคุณให้ดูเล็กลง ยิ่งถ้าเป็นสีดำด้วยล่ะก็
จะยิ่งทำให้คุณดูเพรียวบางปานจะปลิวลมได้ดีที่สุดเลย
ใส่
ชุดลายทาง ทฤษฎีสีพื้นฐานที่เราเรียนกันสมัยมัธยมบอกว่า
ลายขวางจะทำให้วัตถุดูแคบลง ให้ผลอย่างเดียวกันกับรูปร่างป้อมๆ ของคุณด้วย
ถ้าไม่เชื่อคุณครูสมัย ม.ต้นเป็นพยานได้
เลิก
ใส่รองเท้าส้นตึก ผู้หญิงหุ่นตึกๆ
อย่างเราไม่ควรเสริมความบึกด้วยรองเท้าชื่อไม่เป็นมงคล
เพราะความทึบของส้นตึกจะทำให้ขาคุณดูตันยิ่งขึ้น
เดี๋ยวคนที่เห็นเค้าจะหิวข้าวขาหมูกันเป็นแถว
รองเท้า
แบบที่มีสายรัดหรือผ้าพันรอบข้อเท้าคือสิ่งสุดท้ายที่คุณควรจะใส่
เพราะผ้าที่พันขึ้นมาจะทำให้ขาคุณดูสั้นลงและอวบอ้วนขึ้น
เคยเห็นแหนมที่แม่ค้าเค้ารัดจนเป็นปล้องๆ ไหม นั่นล่ะ...ใช่เลย
ใส่
เสื้อผ้าสีเดียวแต่หลายเฉด เช่นว่าถ้าชอบสีฟ้าก็ใส่เสื้อฟ้า
กางเกงยีนส์น้ำเงิน กระเป๋าน้ำเงินเข้ม
ถ้าแต่งได้แบบนี้คุณจะไม่มีทางพลาดเรื่องความผอม
สาวอวบทั้วหลายไม่ควรปัดแก้มสีจัด เพราะจะทำให้ดูหน้ากางกว่าที่เป็นอยู่
แหวน
กำไล หรือนาฬิกาสายเล็กๆ ไม่เหมาะกับข้อมือบึกบึนของคุณ
เพราะความน่าเอ็นดูของมันจะเปิดทางให้ชาวบ้านเห็นความใหญ่ของนิ้วและแขน
ต้องนาฬิกาสายกว้างและแหวนหน้าใหญ่ๆ ถึงจะเหมาะกับคุณ
Behave To Slim
อย่านั่งนานเกินกว่า 30 นาที เพื่อไม่ให้ไขมันมีโอกาสไปรวมตัวกันตามพื้นที่สงวนอย่างพุง ก้น ต้นขา
สละ
ที่นั่งบนรถเมล์ให้ชาวบ้านไป การยืนเด้งดึ๋งๆ
ไปตลอดทางจะช่วยเผาผลาญไขมันให้คุณได้เยอะกว่าการเข้ายิมเสียอีก
แถมหนุ่มคนนั้นจะได้เห็นด้วยว่าคนสวยใจงามยืนอยู่ตรงนี้แล้ว
ก่อน
ออกจากบ้าน สาวๆ ควรจะหาอะไรรองท้องไปก่อน
เพราะโลกภายนอกมีอาหารให้เราอ้วนได้สารพัดอย่าง
คุณจึงต้องป้องกันไว้ก่อนด้วยการไม่ทำให้ตัวเองหิว
เวลาไปงานเลี้ยงอย่าลืมถือแก้วน้ำติดมือไว้ตลอดเวลา จะได้หยิบอะไรกินไม่สะดวก
ฝึกยืนด้วยท่ามาตรฐานของนางงาม คือ ยืนหันข้างนิดๆ หลบมุมเอาไขมันเข้า หุ่นตันๆ จะได้ดูเพรียวบางลงหน่อย
เวลาไปตามร้านอาหาร อย่าสั่งเครื่องดื่มที่มีผลไม้เสียบติดมากับแก้ว เพราะเครื่องดื่มประเภทนี้มักจะใส่น้ำเชื่อม
ท่า
นั่งสำหรับการหลอกคนอื่นว่าเราผอม คือการนั่งตัวตรง ไขว้ข้อเท้าขัดกันไว้
ขาจะดูเล็กลงทันที
แต่ท่านั่งไขว้ห้างกลับจะทำให้ต้นขาและน่องคุณดูอวบใหญ่กว่าความเป็นจริง
นั่งแขม่วท้องทุกครั้งและยืดตัวตรงเวลาเดิน วิธีนี้จะช่วยให้คุณดูผอมทันที และถ้าทำเป็นประจำจะทำให้กล้ามเนื้อท้องแข็งแรงขึ้นด้วย
Dress Yourself slim
Behave To Slim
วิธีทำให้ผิวขาวขึ้นใน7วัน
วิธีดูแลผิว และทำให้ขาวขึ้นนั้นทำได้ จขกท
พิสูจน์มาแล้ว
แต่ต่อไปนี้จะเป็นสูตรที่เร่งรัดและผิวสามารถขาวขึ้นมาได้อย่างน้อย 1/4
ของเฉดเดิม (น่าสนใจล่ะสิ) ซึ่งก็ได้ไปเสาะหามาและทำหลายอย่าง
น่าจะมีดังนี้
1.ตื่นเช้ามาให้กินน้ำมะเขือเทศปั่น 3 ลูก ต่อ 1 แก้ว (ฝืนตั้งนาน)
2.ขัดผิวด้วยสครับขัดผิว น่าจะพวก(ถ้าซื้อตามOTOP) เป็นแบบสำเร็จรูป ได้แก่ ผงขมิ้นขัดผิว ครีมขัดผิวมะขามเปียก ผงขัดผิวว่านนางคำ(อันนี้ขาวแบบตำราโบราณ) ส่วนถ้าเป็นขัดผิวแบบสมัยใหม่จะใช้ scrub ยี่ห้ออะไรก้ได้ (จขกทหาซื้อตาม watson boot บลาๆ) หรือจะทำเอง อันนี้เจ๋งสุด ให้ผสมน้ำตาลทรายกับน้ำผึ้งคนให้เข้ากันอัตราส่วน 1/1 มาขัดผิว หอมน่ากินมาก >< แล้วต้องขัดผิว 2-3 ครั้ง/สัปดาห์ เพราะว่ามันจะขัดขี้ไคลเก่าและเซลล์ผิวดำๆของเราออกไป
3.ทาครีมกันแดดตั้งแต่ SPF 30 PA ++ ขึ้นไป ทั้งหน้าและตัว แต่ของหน้าต้องทา SPF 15 ก่อน เพื่อที่จะเป็น DNA guard จากนั้นค่อยเพิ่มที่ละ 15 ดังนี้ 15>30>45>60 หรือถ้าไม่อยากวุ่นวายให้ 15>30>60 (อันนี้จะง่ายกว่า) ที่ต้องทำอย่างนี้เคยไปปรึกษาหมอเค้าบอกว่า มันจะปกป้องหลายชั้น และมันจะชัวร์กว่าเวลาออกแดด ไม่ต้องทาซ้ำทุก 2 ชม. และไม่ทำให้ผิวคล้ำ หมอง หรือแดงเวลาออกแดดด้วย(สำหรับเมืองไทย) สรุปคือหน้าเราจะมีทั้ง SPF 15 SPF 30 SPF 60 PA+ PA++ PA+++ (เลิศเว่อ)
4.หมั่นไปทำทรีทเมนท์บ่อยๆเพื่อรักษาชั้นผิวและบำรุงผิวให้ดี (เวลาเป็นสิวมันจะหายเองเร็ว) และใช้ครีมที่มีส่วนผสมของ Whitening,AHA/BHA,VitE,VitC ยิ่งครีมที่มีพวกกรดผลไม้ หรือกรดสังเคราะห์ (หาอ่านพวก Critic acid) ทำนองนี้ มันจะผลัดผิวเก่าได้ดี และทำให้ผิวขาวเนียนขึ้นไว
5.ดื่มน้ำวันละ 8-10 แก้ว อันนี้ขาดไม่ได้ เพราะจะทำให้ผิวเปล่งปลั่งจากภายใน และขับถ่ายของเสียส่วนเกินออกจากร่างกาย รวมไปถึงออกกำลังกายให้สม่ำเสมอด้วย อย่างน้อย 3ครั้ง/สัปดาห์ ครั้งละไม่ต่ำกว่า 30 นาที
6.ทานผักผลไม้เป็นประจำทุกวัน โดยเฉพาะแครอทและมะเขือเทศ เพราะมีสารเบต้าแคโรทีนกับไลโคปีน ช่วยบำรุงผิวพร้อมต่อต้านอนุมูลอิสระ (สารสีในผลไม้พวกนี้จะทำให้ผิวมีสีและมีเลือดฝาดมากขึ้นเมื่อทานเยอะๆ)
7.การทาครีมกันแดดต้องทาหลังอาบน้ำเสร็จเลย เพราะหมอแนะนำมาว่าขนาดวันที่ฝนตก หรือเมฆหนา UVB สามารถผ่านชั้นเมฆมาได้ หรือสะท้อนคอนกรีตบ้านเราได้ ดังนั้นขนาดเราอยู่บ้านเฉยๆไม่ได้ไปไหน มันก็ดำได้ เราจึงต้องทาครีมตอนก่อน 7.00 น. เลย ก่อนแดดออก แล้วก็หลีกเลี่ยงแสงแดดนานๆ เวลา 10.00-14.00 ช่วงนี้จะแดดจัดที่สุด
8.ตั้งใจและเข้มแข็ง ถ้าอยากผิวขาวต้องแน่วแน่และทำตาม จขกท ให้ได้ครบถ้วนทุกๆข้อนะคะ ^_^
1.ตื่นเช้ามาให้กินน้ำมะเขือเทศปั่น 3 ลูก ต่อ 1 แก้ว (ฝืนตั้งนาน)
2.ขัดผิวด้วยสครับขัดผิว น่าจะพวก(ถ้าซื้อตามOTOP) เป็นแบบสำเร็จรูป ได้แก่ ผงขมิ้นขัดผิว ครีมขัดผิวมะขามเปียก ผงขัดผิวว่านนางคำ(อันนี้ขาวแบบตำราโบราณ) ส่วนถ้าเป็นขัดผิวแบบสมัยใหม่จะใช้ scrub ยี่ห้ออะไรก้ได้ (จขกทหาซื้อตาม watson boot บลาๆ) หรือจะทำเอง อันนี้เจ๋งสุด ให้ผสมน้ำตาลทรายกับน้ำผึ้งคนให้เข้ากันอัตราส่วน 1/1 มาขัดผิว หอมน่ากินมาก >< แล้วต้องขัดผิว 2-3 ครั้ง/สัปดาห์ เพราะว่ามันจะขัดขี้ไคลเก่าและเซลล์ผิวดำๆของเราออกไป
3.ทาครีมกันแดดตั้งแต่ SPF 30 PA ++ ขึ้นไป ทั้งหน้าและตัว แต่ของหน้าต้องทา SPF 15 ก่อน เพื่อที่จะเป็น DNA guard จากนั้นค่อยเพิ่มที่ละ 15 ดังนี้ 15>30>45>60 หรือถ้าไม่อยากวุ่นวายให้ 15>30>60 (อันนี้จะง่ายกว่า) ที่ต้องทำอย่างนี้เคยไปปรึกษาหมอเค้าบอกว่า มันจะปกป้องหลายชั้น และมันจะชัวร์กว่าเวลาออกแดด ไม่ต้องทาซ้ำทุก 2 ชม. และไม่ทำให้ผิวคล้ำ หมอง หรือแดงเวลาออกแดดด้วย(สำหรับเมืองไทย) สรุปคือหน้าเราจะมีทั้ง SPF 15 SPF 30 SPF 60 PA+ PA++ PA+++ (เลิศเว่อ)
4.หมั่นไปทำทรีทเมนท์บ่อยๆเพื่อรักษาชั้นผิวและบำรุงผิวให้ดี (เวลาเป็นสิวมันจะหายเองเร็ว) และใช้ครีมที่มีส่วนผสมของ Whitening,AHA/BHA,VitE,VitC ยิ่งครีมที่มีพวกกรดผลไม้ หรือกรดสังเคราะห์ (หาอ่านพวก Critic acid) ทำนองนี้ มันจะผลัดผิวเก่าได้ดี และทำให้ผิวขาวเนียนขึ้นไว
5.ดื่มน้ำวันละ 8-10 แก้ว อันนี้ขาดไม่ได้ เพราะจะทำให้ผิวเปล่งปลั่งจากภายใน และขับถ่ายของเสียส่วนเกินออกจากร่างกาย รวมไปถึงออกกำลังกายให้สม่ำเสมอด้วย อย่างน้อย 3ครั้ง/สัปดาห์ ครั้งละไม่ต่ำกว่า 30 นาที
6.ทานผักผลไม้เป็นประจำทุกวัน โดยเฉพาะแครอทและมะเขือเทศ เพราะมีสารเบต้าแคโรทีนกับไลโคปีน ช่วยบำรุงผิวพร้อมต่อต้านอนุมูลอิสระ (สารสีในผลไม้พวกนี้จะทำให้ผิวมีสีและมีเลือดฝาดมากขึ้นเมื่อทานเยอะๆ)
7.การทาครีมกันแดดต้องทาหลังอาบน้ำเสร็จเลย เพราะหมอแนะนำมาว่าขนาดวันที่ฝนตก หรือเมฆหนา UVB สามารถผ่านชั้นเมฆมาได้ หรือสะท้อนคอนกรีตบ้านเราได้ ดังนั้นขนาดเราอยู่บ้านเฉยๆไม่ได้ไปไหน มันก็ดำได้ เราจึงต้องทาครีมตอนก่อน 7.00 น. เลย ก่อนแดดออก แล้วก็หลีกเลี่ยงแสงแดดนานๆ เวลา 10.00-14.00 ช่วงนี้จะแดดจัดที่สุด
8.ตั้งใจและเข้มแข็ง ถ้าอยากผิวขาวต้องแน่วแน่และทำตาม จขกท ให้ได้ครบถ้วนทุกๆข้อนะคะ ^_^
Subscribe to:
Posts (Atom)