Friday, September 28, 2012

โยคะเพื่อสาวขาเรียว


อยากมีขาเรียวสวยกะเค้าบ้าง จะได้โชว์ได้อย่างเต็มที่  Yoga and Massage อาทิตย์นี้เราขอแนะนำท่าโยคะง่ายๆ เพื่อสาวหน้าท้องแบนและต้นขาที่เรียวสวย เพื่อให้คุณได้เลือกเสื้อผ้าใส่สวยๆ ได้อย่างสาสมใจ

ท่าที่ 1
• เริ่มจากคุกเข่า โดยให้มือทั้งสองยันพื้นไว้ให้อยู่ในลักษณะท่าคลานค่ะ เงยหน้าตรง มองตรงไปทางด้านหน้า
• หายใจเข้า พร้อมค่อยๆ สอดขาขวามาทางด้านหน้า โดยให้ขาอยู่ระหว่างแขนทั้งสองข้าง หลังจากนั้นให้วางเท้าขวาลงแล้วเหยียดขาและตัวไปข้างหน้าให้มากที่สุด
• จากนั้นจึงค่อยๆ ก้มหน้าลงให้หน้าผากแตะกับหัวเข่า ค้างไว้ 10 วินาทีแล้วค่อยดึงขาขวากลับเข้าสู่ท่าเดิม แล้วจึงค่อยทำขาซ้ายในแบบวิธีเดียวกันค่ะ

ท่าที่ 2: เป็นท่าโยคะในแบบง่ายๆ หลายๆ ท่าที่สามารถทำกันเองได้ค่ะ เพื่อให้คุณสาวๆ มีเรียวขาที่สวยงามพร้อมกับหน้าท้องเรียบแบน
• เริ่มจากการยืนตัวตรงเท้าชิดกัน แขนเหยียดขึ้นตรง มือประสานเหนือหัวค่ะ แล้วจึงโน้มตัวไปทางด้านหน้า
• ต่อมาให้ทำมือและท่าเหมือนดังตอนแรกแต่ให้โน้มตัวไปทางด้านหลังแทน
• ยืนตัวตรง แล้วก้มหน้าลงโดยให้สองมือจับส้นเท้าไว้
• ยืนบนปลายเท้าทั้งสองข้าง แขนทั้งสองเหยียดตรงไปข้างหน้าพร้อมกับย่อตัวลง
• ให้สองแขนไขว้เกี่ยวกัน และเท้าขวาเกี่ยวเท้าซ้ายและค่อยๆ ย่อตัวลงค่ะ เพื่อเป็นการยืดเส้นหน้าขาค่ะ
• นั่งกับพื้นลงโดยให้มือขวาจับปลายเท้าขวา พร้อมมือซ้ายเหยียดขึ้นเหนือหัว โน้มตัวไปข้างหน้าค่ะ


Tips: ท่าโยคะทุกท่าให้ทำสลับกันซ้าย-ขวา โดยแต่ละท่าต้องค้างไว้ประมาณ 1 นาทีค่ะ และอย่าลืมกำหนดลมหายใจเข้า-ออกอย่างช้าๆ ซึ่งนั่นจะเป็นการช่วยในส่วนของการไหลเวียนของโลหิต และกระชับกล้ามเนื้อให้ทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้นได้อีกด้วยค่ะ

การทำโยคะเพียงวันละ 15-30 นาทีแบบนี้เป็นประจำ ก็สามารถช่วยให้คุณสาวๆ มีหุ่นที่ดีไร้ที่ติได้แล้วค่ะ คราวนี้ได้แต่งองค์ทรงเครื่องได้จุใจอย่างแน่นอน

ออกกำลังกายด้วยการ กระโดดเชือก


กีฬา "กระโดดเชือก" หลายคนยังจำได้ เพราะเล่นตั้งแต่เด็ก แต่ไฉนโตขึ้นมาถึงได้ห่างหาย ทั้ง ๆ ที่เป็นกีฬาและการละเล่นที่เรียกเหงื่อเรียกความสนุกได้ไม่เบื่อ
วันนี้เราจะมาฟื้นความหลัง กับวิธีการออกกำลังกาย แบบกระโดดเชือกอีกซักที พร้อมทั้งเคล็ดลับความสนุก ชวนเพื่อนชวนน้องมาเล่น เรียกความหลังกันซะหน่อย
การกระโดดเชือก ดีต่อหัวใจ อีกทั้งยังช่วยเผาผลาญแคลอรี่ได้รวดเร็วที่สุด เราสามารถกำหนดโปรแกรมการกระโดดเชือก เพื่อให้หุ่นสวย และหัวใจแข็งแรงได้ ด้วยโปรแกรมต่อไปนี้


สัปดาห์ที่ 1 อาทิตย์ พุธ เสาร์ กระโดดให้ได้ 8 ครั้งต่อวัน จากนั้นทำท่าก้าวเตะ (โดยการกระโดดด้วยท่าก้าวเตะ ก้าวเท้าขวาไปทางขวา ลากเท้าซ้ายตามไป แล้วเปลี่ยนมาทางซ้าย) 16 ครั้งติดต่อกัน โดยไม่หยุดพัก ทำขึ้นตอนซ้ำทั้งหมด 8 รอบ
สัปดาห์ที่ 2 จันทร์ พุธ ศุกร์ เสาร์ กระโดดเชือก (กระโดดยกเท้าสองข้างพร้อมกัน) ต่อกัน 16 ครั้ง แล้วทำท่าก้าวเตะ 32 ครั้ง กระโดดเชือกและทำท่าก้าวเตะให้ได้ 3 รอบติดต่อกัน จากนั้นกระโดดเชือก 30 วินาที ทำซ้ำอีกหนึ่งครั้ง
สัปดาห์ที่ 3 ทุกวัน เว้นเสาร์ อาทิตย์ กระโดดเชือก 30 วินาที และทำท่าก้าวเตะ 15 วินาที แล้วกระโดดเชือกอีก 30 วินาที พัก กระโดดเชือก 60 วินาที และท่าก้าวเตะ 30 วินาทีจากนั้นกระโดดเชือกอีก 60 วินาที
สัปดาห์ที่ 4 จันทร์ อังคาร พุธ กระโดดเชือก 2 นาที ทำท่าก้าวเตะ 30 วินาที แล้วกระโดดเชือกอีก 2 นาที ส่วนวันศุกร์ วอร์มอัพแล้วกระโดดเชือก 5 นาที เต็ม ทำซ้ำให้มากครั้งที่สุด
แม้การออกกำลังด้วยการกระโดดเชือกดูทำง่าย ๆ แต่กีฬาทุกชนิด ต้องมีการวอร์มอัพก่อนเสมอ มีการยืดกล้ามเนื้อเน้นเฉพาะบริเวณขาก่อนทุกครั้ง เพราะอาจมีอาการเจ็บเข่าเพิ่มเติมในภายหลังได้ ขณะเดียวกันก็ควรสวมรองเท้าผ้าใบ และลงน้ำหนักด้วยปลายเท้า ไม่ใช่ส้นเท้า โดยเวลากระโดดควรย่อเข่าเล็กน้อยเวลาเท้ากระทบพื้น เพื่อช่วยรับแรงกระแทกพร้อมโน้มตัวไปข้างหน้า และให้ทรงตัวได้ดี ทั้งนี้ ในช่วงแรก ต้องเริ่มอย่างค่อยเป็นค่อยไป เพราะมือและเท้ายังประสานงานได้ไม่ชิน ซึ่งอาจจะใช้เวลานับเดือนในการกระโดดเชือกให้ได้ 10 นาทีติดต่อกัน
การออกกำลังกายไม่ใช่เรื่องน่าเบื่อ และมีกีฬาอีกหลากหลายชนิดให้เราได้เลือกเล่น ทั้งสนุก และดีต่อสุขภาพ อยากกระโดดเชือกให้สนุก ลองเข้าไปเสิร์ชวิธีการต่าง ๆ ดูได้ตาม เวบไซต์ต่างๆ ก็จะสามารถมีวิธีการออกกำลังกายด้วยเชือกมากมายให้คุณเลือก แล้วเราจะไม่ออกกำลังกายได้อย่างไร

ฟิตโยคะผอมทันใจ 3 เดือน ผลาญ 20 Kg!


ฟิตโยคะผอมทันใจ 3 เดือน ผลาญ 20 Kg!  แฮก...แฮก...แฮก...
ด้วยน้ำหนักตัวที่มากถึง 95 กิโลกรัม คุณเอกในวัย 18 ปี (ปัจจุบันอายุ 26 ปี) รู้สึกเหนื่อยใจจะขาดทุกครั้ง เมื่อถึงชั่วโมงฝึกนักศึกษาวิชาทหาร (รด.) ประจำสัปดาห์
ไหนจะชุดเครื่องแบบแสนคับอึดอัด ไหนจะกระบอกปืนที่หนักอีกกว่าสิบกิโลกรัม จึงไม่แปลก หากจะเห็นเด็กหนุ่มจอมอุ้ยอ้ายคนนี้ ทำกิจกรรมตามคำสั่งของครูผู้ฝึกเสร็จเป็นคนสุดท้ายเสมอ ทั้งที่ได้รับมอบหมายให้เป็นถึงหัวหน้าหมู่

เมื่อไม่อยากให้ความอ้วนเป็นอุปสรรคต่อการใช้ชีวิตอีก กอปรกับเห็นลูกพี่ลูกน้องผอมลงผิดหูผิดตาจากการฝึกโยคะเป็นประจำ คุณเอกจึงไปขอร้องคุณลุง ผู้เป็นครูโยคะให้ช่วยสอน ด้วยความหวังอย่างเต็มเปี่ยมว่า จะต้องเอาชนะการลดน้ำหนักให้ได้ภายในสามเดือน
ต้นสายปลายเหตุที่ทำให้คุณเอกมีภาวะอ้วน มาจากการที่บ้านเป็นร้านอาหาร เมื่อกินเท่าไรไม่มีใครว่า แถมยังชอบทดลองทำอาหารสูตรใหม่ๆ กินเองอีก เขาและสมาชิกในครอบครัวจึงมีรูปร่างอวบอ้วน ประหนึ่งเคาะจากพิมพ์เดียวกัน
คุณเอกเล่าว่า "ผมตัวใหญ่ที่สุดในบ้าน กินข้าวมื้อละสี่จาน วันหนึ่งกินห้ามื้อ พิซซ่า ขาหมู ของหวาน นี่ของโปรด รู้ตัวดีว่าอ้วน แต่ไม่เคยห้ามปากได้เลย
"นั่นทำให้ผมเป็นคนอืดอาดมาตั้งแต่เด็ก ทำอะไรเหนื่อยง่าย แข่งกีฬาแล้วแพ้ตลอด แม้กระทั่งตอนสอบสมรรถภาพร่างกายในคาบเรียน รด. ก็เกือบไม่รอด แต่ผมต้องเก็กว่าไม่เหนื่อย เพราะกลัวเสียหน้า"
ก่อนฝึกโยคะ คุณเอกเคยคิดว่า โยคะเป็นการบริหารร่างกายง่ายๆ สบายๆ เหมาะสำหรับผู้หญิงมากกว่าผู้ชายอกสามศอกอย่างเขา หากวันแรกของการฝึกกลับเป็นฝันร้าย
"ผมหักโหมทำท่าทุกอย่างตั้งแต่เริ่ม ยืดแล้วเจ็บเท่าไรก็ทน ปรากฏว่าวันถัดมาไข้ขึ้นสูง ปวดเมื่อยจนแทบกระดิกไม่ได้ มีรอยช้ำขึ้นตามเนื้อตัวบริเวณที่ยืด รู้สึกไม่อยากเจ็บอีกแล้ว วันต่อๆ มาเลยเริ่มเกเร หนีเรียนบ้าง ไม่ตั้งใจเรียนบ้าง"
จนเมื่อที่บ้านเตือนให้ฝึกโยคะอย่างจริงจัง เขาจึงยอมทนเรียนอีกครั้ง

หนุ่มอ้วนหัดโยคะ
ทุกเช้า หลังจากช่วยขายของเสร็จแล้ว คุณเอกจะหอบเสื่อโยคะไปฝึกกับคุณลุงที่สวนสาธารณะใกล้บ้าน เขาเล่าว่า
"โชคดีที่เป็นช่วงเรียนจบมัธยมปลาย เลยมีเวลาฝึกโยคะค่อนข้างเยอะ หกโมงถึงเก้าโมงเช้า ผมจะเรียนท่าโยคะพื้นฐาน เน้นตั้งแต่การหายใจ การยืดเส้นแขน ขา และร่างกายส่วนอื่นๆ จากนั้นกลับมาฝึกต่อที่บ้านอีกทั้งวันจนถึงช่วงเย็น
"ความอ้วนทำให้ผมมีปัญหาเรื่องการทรงตัว ทำท่าประเภทยืนขาเดียว หรือท่าที่ต้องเกร็งตัวค้างไว้ไม่ได้เลย ยิ่งท่าก้มหรือนั่งมักติดพุง ล้มง่าย พอทำได้นิดหน่อยก็เหนื่อยหอบ หงุดหงิดมาก แต่ผมพยายามฝึกไปเรื่อยๆ เพราะอยากทำให้ได้เร็วๆ"
ไม่กี่สัปดาห์ คุณเอกก็ทำท่าพื้นฐานได้จนชำนาญ แม้แต่เพื่อนร่วมเรียนยังตกใจ จากนั้นเขาเริ่มฝึกท่ายากเพิ่มเติมด้วยตัวเอง โดยดูรายละเอียดจากหนังสือ และเว็บไซต์ต่างๆ
"การฝึกโยคะช่วยให้ร่างกายของผมเผาผลาญไขมันดีขึ้น เลือดไหลเวียนดี ได้เหงื่อจากการออกกำลังโดยไม่ต้องออกแรงมาก
"ผลจากการฝึกหายใจสมาธิยังช่วยสร้างสติเวลากินอาหาร รู้จักหักห้ามใจ ไม่กินตามใจปาก และช่วยลดความอยากอาหารลง" คุณเอกเล่าถึงความเปลี่ยนแปลงของร่างกายที่รู้สึก
ตลอดเวลาที่ฝึกโยคะ คุณเอกชั่งน้ำหนักทุกเช้า เพื่อดูผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น
ครบหนึ่งเดือน น้ำหนักของเขาลดลงกว่าสิบกิโลกรัมอย่างรวดเร็ว แต่มีอาการอ่อนเพลีย หวิวๆ จะเป็นลมง่าย อยากนอนตลอดเวลา และผิวแตกลาย จึงต้องดื่มน้ำชดเชยมากๆ พร้อมทั้งเตือนตัวเองว่าอย่ายอมแพ้
ล่วงเข้าเดือนที่ 2-3 เขาปรับตัวดีขึ้น ได้กำลังใจจากคนรอบข้างมากมาย สามารถลดน้ำหนักได้อีกกว่าสิบกิโลกรัมสมใจ
เมื่อโยคะกลายหนึ่งในกิจวัตรประจำวัน คุณเอกสามารถคงน้ำหนักไว้ได้ที่ 75 กิโลกรัม นับตั้งแต่นั้นมา พุงลดลงถึง 12 นิ้ว ไขมันส่วนเกินตามเอว แขน และขา หายไป ส่งผลให้เคลื่อนไหวกระฉับกระเฉง อารมณ์แจ่มใสขึ้น ไม่เหลือเค้าของคนเคยอ้วนอีกเลย

โปรแกรมโยคะสลัดไขมัน
ในแผนการลดน้ำหนักให้เห็นผลอย่างเร่งด่วน คุณเอกเลือกฝึกท่าโยคะที่ได้ออกแรงมากเป็นพิเศษ รวมถึงเน้นท่าที่ได้บริหารส่วนไขมันพอกพูน ดังนี้
• ท่าหมุนท้อง (ชฐระ ปริวรรตนาสระ) ท่านี้ช่วยให้คุณเอกได้บริหารช่วงเอว ในท่าทางนอนเหวี่ยงขาไปมา คล้ายการหมุนเข็มนาฬิกา ช่วยสลายไขมันหน้าท้อง กระชับสะโพก และต้นขา รวมถึงบรรเทาอาการปวดสะโพก ได้เป็นอย่างดี เขาเล่าเคล็ดลับฉบับคนอ้วนให้ฟังว่า
"ช่วงนั้นน้ำหนักตัวของผมยังมากอยู่ ยกขาตั้งฉากกับพื้นแทบไม่ขึ้น ต้องแก้ด้วยการงอเข่าเล็กน้อย แล้วค่อยๆ ทำจนกว่าขาจะเหยียดตรงได้เอง
"บางวันผมใช้ตัวช่วยเพื่อเสริมแรงเหวี่ยงขา โดยใช้มือยึดสิ่งของไว้ เช่น ขาโต๊ะ ขาเก้าอี้ หรือวางเชือกไว้ใต้ลำตัวระดับไหล่ กำเชือกในมือแต่ละด้านให้ตึง เมื่อจะเหวี่ยงขาไปทางไหน ก็ให้ดึงเชือกไปทางฝั่งตรงข้าม
"ในการฝึกท่านี้ ควรออกแรงกดไหล่และหลังให้ชิดพื้นมากที่สุด แล้วออกแรงเหวี่ยงขา โดยใช้แรงจากช่วงเอวและต้นขา อย่าเกร็งหลัง นอกจากช่วยให้ได้บริหารช่วงล่างเต็มที่แล้ว ยังช่วยป้องกันอาการปวดหลังที่อาจเกิดขึ้น"
• ท่านักรบ (วีราสนะ) เป็นการรวมท่ายืดเหยียดร่างกายไว้ในท่าเดียว ทั้งย่อขาโน้มตัว และยืดเหยียดแขนขา โดยเฉพาะได้ออกกำลังช่วงสะโพกมาก ทำให้ต้นขากระชับ
คุณเอกเสริมประโยชน์อีกว่า ท่านี้ช่วยบรรเทาอาการปวดเอว น่อง และเข่า ที่เกิดจากแรงกดของน้ำหนักตัว การเหยียดมือข้ามศีรษะยังช่วยเปิดช่วงอกให้หายใจได้ลึกขึ้น
"เพราะต้องอาศัยช่วงขามากในท่านี้ จึงควรก้าวขาข้างที่ต้องย่อเข่าตั้งฉากออกไปให้กว้างๆ แล้วหันปลายเท้าให้ตรงกับแนวหัวเข่าพอดี ส่วนขาอีกข้างพยายามเหยียดให้ตึง วางเท้าทั้งสองข้างให้เต็มฝ่าเท้า วิธีนี้จะช่วยให้ทรงตัวดี ไม่ล้มง่าย
"หากติดพุง ยังไม่ต้องย่อเข่ามาก ย่อแค่พอรู้สึกตึงหน้าขา หรือยืดขาให้ตรงก็พอ ก่อนโน้มตัวทุกครั้ง ควรหายใจเอาลมหายใจออกให้หมดท้องเสียก่อน ช่วยลดปัญหาติดพุงอีกทาง" คุณเอกแนะพร้อมทำท่าให้ดู
• ท่าหงส์เหิน (นาฏราชอาสนะ) เพราะท่านี้ต้องอาศัยการเกร็งร่างกายในการทรงตัวมากเป็นพิเศษ เพื่อป้องกันไม่ให้ล้มขณะยืนด้วยขาเดียว ยิ่งกล้ามเนื้อได้ออกแรงเกร็งมากเท่าไร ยิ่งช่วยให้เผาผลาญไขมันดีขึ้น ท่านี้ยังช่วยในการฝึกสมาธิให้แน่วแน่
"ข้อควรระวังสำหรับคนอ้วน คือ เซล้มง่าย เนื่องจากน้ำหนักตัวที่มากเกินไป ทำให้การทรงตัวลำบาก แล้วไหนจะต้องยกขาอีกข้างขึ้นอีก
"เคล็ดลับท่านี้อยู่ที่ว่าต้องสร้างฐานยืนให้มั่นที่สุด โดยยืดขาหลักให้ตรง ให้รู้สึกตึงที่หัวเข่า น้ำหนักตัวจะถ่ายลงบนเท้า จากนั้นจึงใช้ปลายเท้าจิกพื้นไว้ เท่านี้ก็ช่วยให้ฐานแน่นแล้ว
"นอกจากนี้ การเกร็งข้อเท้าเอาไว้ จะช่วยไม่ให้ข้อเท้าพลิกถ้าเกิดเซล้มขึ้นมา โดยเฉพาะคนอ้วน ที่มักบาดเจ็บจากอาการข้อเท้าพลิกได้ง่ายกว่าปกติ"


เมื่อตั้งใจฝึกโยคะเป็นประจำ เส้นทางลัดสู่หุ่นดีก็รวดเร็วได้ดั่งใจค่ะ
(ชีวจิตมือใหม่) How to Yoga ง่ายๆ สไตล์คุณเอก

ท่าหมุนท้อง
ท่าเตรียม นอนหงาย กางแขนออกเสมอไหล่ ฝ่ามือคว่ำลง ขาทั้งข้างชิดกันแล้วเหยียดตรง หายใจเข้า พร้อมกับยกขาทั้งสองข้างขึ้นตั้งฉากกับพื้น
วิธีทำ หายใจออก พร้อมกับค่อยๆ เหวี่ยงขาไปทางซ้ายจนนิ้วเท้าเกือบแตะพื้น ค้างท่าไว้ 2 ลมหายใจ จากนั้นเหวี่ยงขากลับสู่ท่าเตรียม หายใจเข้า แล้วสลับทำด้านขวา ทำ 10 ครั้ง
ท่านักรบ
ท่าเตรียม ยืนตรง ยกแขนทั้งสองข้างไปด้านหน้าในระดับไหล่ 
วิธีทำ ก้าวเท้าซ้ายไปด้านข้าง ย่อเข่าตั้งฉาก ปลายเท้าหันออก ค่อยๆ โน้มตัวไปทางซ้าย พร้อมกับลดมือซ้ายวางใกล้เท้าซ้าย ขณะเดียวกันเหยียดขาขวาออกให้สุด ปลายเท้าหันเข้า แล้วเหยียดแขนขวาข้ามศีรษะไปทางซ้าย (แขนแนบใบหู) ให้รู้สึกตึงสีข้างด้านขวา ค้างท่าไว้ 2 ลมหายใจ กลับสู่ท่าเตรียม แล้วสลับทำด้านขวา ทำ 10 ครั้ง
ท่าหงส์เหิน 
ท่าเตรียม ยืนตรง ขาทั้งสองข้างชิดกัน วางแขนแนบลำตัว 
วิธีทำ หายใจเข้า พร้อมกับพับขาขวาขึ้นด้านหลัง โดยใช้มือซ้ายจับข้อเท้าขวา ค่อยๆ ดึงขาขวาให้ขึ้นสูงมากที่สุด ระหว่างนั้นยกแขนขวาขึ้นทำมุมกับพื้น 45 องศา ตามองตรง ค้างท่าไว้ 2 ลมหายใจ กลับสู่ท่าเตรียม แล้วสลับทำด้านขวา ทำ 10 ครั้ง
(ชีวจิตมือโปร) ปรับไลฟสไตล์ร่วมด้วย
ระหว่างฝึกโยคะลดน้ำหนัก คุณเอกปรับชีวิตด้านอื่นพร้อมๆ กัน ดังนี้ ปรับอาหาร จากกินข้าวมื้อละสี่จานลดเหลือหนึ่งจาน เน้นกินกับข้าวมากกว่าข้าว งดมื้อดึกอย่างเด็ดขาด แล้วดื่มน้ำแทนมากๆ บางมื้อกินแต่ผลไม้ โดยเฉพาะผลไม้ที่มีน้ำมาก เพื่อช่วยคลายอาการเหนื่อยร้อนจากการฝึกโยคะไปในตัวด้วย เช่น แตงโม ชมพู่ ฝรั่ง
ถ้าวันไหนน้ำหนักเพิ่ม ลงโทษตัวเองด้วยการกินแต่น้ำกับผลไม้ ปรับการใช้เงิน พกเงินติดตัวเฉพาะค่าเดินทาง เพื่อลดการซื้ออาหารตามใจปาก

4 ท่าออกกำลังกาย สลายความเครียด


ด้วยสภาวะบ้านเมืองที่ไม่ค่อยจะสู้ดีเท่าไหร่นักในเรื่องของสถานการณ์น้ำท่วมที่กำลังกระหน่ำซัด กทม. และพื้นที่โดยรอบอยู่ในขณะนี้ อาจทำให้สาวๆ หลายคนเกิดความเครียด ความกังวล ชนิดที่หาทางออกกันไม่ค่อยจะเจอเลยจริงไหมคะ ผู้หญิงเราปกติ เครียดนิดหน่อย ออกไปช็อปปิ้ง หาอะไรอร่อยๆ ทานซักนิดเดี๋ยวก็หาย แต่เวลานี้จะออกจากบ้านก็ห่วงบ้าน กังวลว่าน้ำจะมาไหมหนอ แล้วถ้ามาจะกลับบ้านได้ไหมเนี่ย อะไรประมาณนี้ จึงไม่ค่อยจะออกจากบ้านกันเท่าไหร่ ความเครียดก็เริ่มสะสม ยิ่งลุ้นหนักว่าน้ำจะมาไม่มา ยิ่งพาให้เครียดไปกันใหญ่จนอาจมีโรคอื่นแทรกซ้อนตามมาก็ได้ ดังนั้นถ้าคุณกำลังอ่านบทความนี้อยู่ ไหนๆ ก็อยู่บ้านเฉยๆ แล้วเลิกคิดซักพัก! ปล่อยวางแล้วมาออกกำลังกายสลายความเครียดไปพร้อมๆ กันดีกว่าค่ะ

ผ่อนคลายกล้ามเนื้อมือ
บางครั้งความสภาวะความเครียด ความกดดัน ฯลฯ พอหนักๆ เข้า อาจทำให้เกิดอาการเกร็งชาในส่วนของมือและข้อมือขึ้นมาได้และอาจเป็นอาการเริ่มต้นของโรคอื่นๆ ในระยะแรกๆ เลยนะคะ มาแก้ไขอาการนี้ หรือป้องกันก่อนที่จะเกิดกันก่อนดีกว่า ท่านี้เริ่มต้นที่การทำมือในลักษณะจีบคว่ำ ทั้ง 5 นิ้ว จินตนาการว่ากำลังจุ้มนิ้วที่จีบลงไปในน้ำ จากนั้นให้ดีดนิ้วมือออกในลักษณะที่เหมือนกับกำลังพรมน้ำ โดยเหยียดนิ้วทั้ง 5 ออกให้สุดนะคะ ทำแบบนี้ซัก 10 ครั้ง จากนั้นเปลี่ยนมากำมือให้แน่นๆ ให้เหยียดออกให้สุดเหมือนกันอีก 10 ครั้ง ท่านี้ตจะช่วยลดการชาที่ปลายนิ้วเรื่อยไปจนถึงข้อมือได้ค่ะ


ยืดคอ ยืดแขน ยืดขา
เป็นการออกกำลังที่กายด้วยท่าที่เบสิกมากๆ เลยค่ะ แต่ท่าพวกนี้แหละที่สามารถช่วยผ่อนคลาย ยืดเส้นยืดสายได้เป็นอย่างดี ในขณะที่เรากำลังเฝ้าระวังอยู่ที่บ้านหรือติดอยู่กับพี่น้ำในบ้านแล้วก็ตาม อย่าเอาแต่นั่นเครียดค่ะ ลุกขึ้นยืนจากนั้นค่อยๆ ยืดคอขึ้นมาหมุนตามเข็มนาฬิกาซัก 5 -10 รอบ และทวนเข็มนาฬิกาอีกครั้งในจำนวนเท่าเดิม จากนั้นมาต่อที่ส่วนแขนและขากันบ้าง เริ่มต้นที่การนำมือซ้ายและขวามาผสานกันแล้วยืดตัวขึ้นพร้อมๆ กับเขย่งขาและยืดแขนขึ้นเหนือศีรษะในลักษณะที่คล้ายกับการบิดขี้เกียจนั่นแหละค่ะค้างไว้ 5 -10 วินาทีก็พอแล้ว


หายใจลึกๆ
การหายใจเข้าออกลึกๆ หลายครั้งในรูปแบบที่เรียกว่าหายใจโยคะ วิธีนี้เป็นวิธีการผ่อนคลายความเครียดที่คลาสสิกที่สุดเลยค่ะ แถมยังได้ผลที่ดีต่อร่างกายมากๆ อีกด้วย เริ่มต้นด้วยการหาสถานที่ที่เงียบ สงบ รวมความรู้สึกและสมาธิทั้งหมดไปไว้ที่ปอด สร้างมโนภาพให้เหมือนกับลุกโป่งที่ยุบพองตามจังหวะการหายใจของเราเอง จากนั้นก็ค่อยๆ หายใจเข้า-ออก ลึกๆ ซักประมาณ 10 นาทีก็พอค่ะ หลังจากนั้นความเครียดสะสมที่อาจจะนำไปสู่อาการปวดหัว ปวดคอ ปวดท้อง ปวดหลัง ฯลฯ ก็จะค่อยๆ ทุเลาไปเอง


เล่นฮูลาฮูป
สุดท้ายท้ายสุด ขอใช้อุปกรณ์ช่วยเล็กน้อยค่ะ นั่นคือการออกกำลังกายโดยใช้ห่วงพลาสติกที่เรียกว่า ฮูลาฮูป ที่ได้รับความนิยมมาได้พักใหญ่แล้วเหมือนกันส่วนมากสาวๆ จะนิยมเล่นเพื่อลดความอ้วนกันใช่ไหมค่ะ แต่รู้ไหมค่ะว่าการเล่นฮูลาฮูปก็เป็นการออกกำลังกายที่สามารถทำได้คนเดียวและช่วยผ่อนคลายความเครียดได้เป็นอย่างดีอีกด้วย วิธีการเล่นก็ง่ายๆ ค่ะอย่างที่รู้ๆ กันอยู่แล้ว หยิบเจ้าห่วงพลาสติกนี้มาใส่เอวแล้วก็หมุนๆ ไปเรื่อยๆ เหนื่อยก็พัก ให้ได้ระยะเวลาซักรอบละ 3- 5 นาทีก็พอค่ะ

หวังว่าวิธีการออกกำลังกายภายใต้สภาวะความเครียดที่แนะนำไปจะสามารถช่วยเหลือเพื่อนๆ ทุกคนในช่วงเวลานี้ได้นะคะ ขอให้ทุกคนใช้ชีวิตกันได้อย่างปลอดภัย ไร้ความทุกข์ หรือถ้าทุกข์ก็ให้ผ่านพ้นไปได้เร็วๆ ละกันค่ะ 

หุ่นแบบนี้ ออกกำลังกายแบบไหนดีนะ


หลายคนตั้งใจว่าจะออกกำลังกายอย่างจริงจัง เพื่อฟิตร่างกายให้แข็งแรงตั้งแต่ต้นปี แต่จนแล้วจนรอดก็ยังคิดไม่ออกว่า ควรเริ่มต้นออกกำลังกายอย่างไรดี
งานนี้เบาใจได้ เพราะ ชีวจิต มีวิธีออกกำลังกายให้เหมาะสมกับคนที่มีรูปร่างแบบต่างๆ มาแนะนำ ซึ่งจะช่วยลบข้อด้อยทางกายภาพให้หมดไปค่ะ
หุ่นแบบแอปเปิ้ล คือ คนที่มีโครงสร้างร่างกายใหญ่ ขนาดลำตัวตั้งแต่ช่วงไหล่ลงไปจนถึงเอว มีขนาดใหญ่กว่าช่วงสะโพกลงมา ควรบริหารร่างกายส่วนบนเป็นหลัก เพราะไขมันมักสะสมอยู่บริเวณไหล่ แขน และลำตัวส่วนบน เช่น ซิตอัพ และเต้นแอโรบิคในท่าเน้นบริหารกล้ามเนื้อต้นแขน และหัวไหล่
หุ่นแบบลูกแพร์ คือ คนที่มีช่วงล่างใหญ่ เนื่องจากมีไขมันสะสมมากบริเวณเอว สะโพก และต้นขา ควรเลือกปั่นจักรยาน เดิน วิ่งจ็อกกิ้ง กระโดดเชือก หรือบริหารด้วยท่ากระชับสะโพก และต้นขา เช่น ท่ายืนนั่งย่อเข่า ท่านอนยกขาเตะสลับ
หุ่นแบบทรงกระบอก คือ คนที่มีลำตัวตรง ไม่มีส่วนโค้งเว้า ไขมันสะสมอยู่ทุกส่วนของร่างกาย ควรว่ายน้ำ โหนบาร์ เต้นแอโรบิค หรือกีฬาที่ได้บริหารทุกส่วนของร่างกาย รวมถึงบริหารท่าบิดเอวเพื่อเพิ่มส่วนโค้งเว้าของร่างกาย
หุ่นแบบนาฬิกาทราย เป็นคนที่มีรูปร่างสมส่วน เอวคอด ลำตัวส่วนบนและล่างสมดุลกัน อย่างไรก็ตาม อาจมีไขมันสะสมบริเวณสะโพก ต้นขา และหน้าท้องได้ จึงควรออกกำลังกายในลักษณะเดียวกับคนที่มีหุ่นแบบลูกแพร์ 
อย่าลืมว่าต้องออกกำลังกายให้เต็มที่จนโกร๊ธฮอร์โมนหลั่งด้วย รับรองว่าได้ทั้งรูปร่างกระชับสวย แถมภูมิชีวิตยังแรงดีไม่มีตกค่ะ

ท่าบริหารหุ่นเซ็กซี่ หน้าท้องเรียบเฉียบขาด!


แค่เพื่อนๆ มียางยืดบริหารหรือผ้าขนหนู  ก็ช่วยให้หุ่นเพรียวกระชับทุกสัดส่วนได้

“Belly Dance” ระบำไล่อ้วน 8 เดือนลด 20 Kgs!


เมื่อเสียงเพลงอาหรับบรรเลงดัง สาวเอวบางร่างสะองค่อยๆ เยื้องย่างขึ้นบนเวที ยักย้ายส่ายหน้าท้องสอดรับจังหวะเพลงอย่างอ่อนช้อยทว่าทรงพลัง สะกดสายตาผู้ชมรอบข้างดั่งต้องมนต์
หากย้อนเวลากลับไปหลายปีก่อน คุณออกัส ทรงเกียรติธนา วัย 31 ปี เจ้าของหุ่นสวยบนเวทีเคยให้คำจำกัดความตัวเองว่า อ้วนเหมือนถังที่รถมอเตอร์ไซค์งานวัดไต่ ด้วยรูปร่างของเธอตอนนั้นจัดว่าอวบหนัก ผิดกับขณะนี้จากหน้ามือเป็นหลังมือ
เพราะเพียรออกกำลังกายด้วยการระบำหน้าท้อง คุณออกัสจึงสามารถลดน้ำหนัก พร้อมกับเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ "สวย หุ่นดี และอ่อนเยาว์" เข้าคอนเซปต์ส่งเสริมสุขภาพของชีวจิตทุกประการ จนต้องนำเคล็ดลับมาแบ่งปันค่ะ
อ้วนต้านหนาว
กว่าจะบริหารรูปร่างให้ดีอย่างนี้ได้ คุณออกัสออกตัวสารภาพถึงสาเหตุ ที่ทำให้ไขมันเจ้าปัญหามาเยือน ด้วยน้ำเสียงเขินๆ ว่า
"ปกติเป็นคนตัวเล็ก พอปี พ.ศ.2548 ได้ไปแสดงละครเวทีที่ประเทศญี่ปุ่นเป็นเวลาสองเดือน ซึ่งตรงกับช่วงฤดูหนาวพอดี คนที่นั่นบอกให้กินเยอะๆ เพื่อสร้างความอบอุ่นให้ร่างกาย ดิฉันก็ทำตาม (ซึ่งเป็นความเข้าใจผิด)
"แต่ละวันเลยกินสี่มื้อ เป็นข้าวกล่องเบนโตะขนาดใหญ่มื้อละสองกล่อง สรุปว่ากินวันละแปดกล่อง แถมอาหารยังอร่อยอีก ทำให้น้ำหนักขึ้นพรวดเดียว 20 กิโลกรัม ภายในระยะเวลาสั้นๆ จาก 44 เป็น 64 กิโลกรัม ตัวอ้วนใหญ่น่ากลัวมาก"
หลังกลับเมืองไทย คุณออกัสยังคงติดนิสัยกินจุ ส่งผลให้ความอ้วนไม่ยอมลาจาก เธอรู้สึกอึดอัดตลอดเวลาขณะทำกิจกรรมต่างๆ จนขาดความมั่นใจในตัวเอง ต้องหาวิธีแก้ปัญหาอย่างจริงจัง
"ตั้งใจไม่กินยาลดความอ้วน แล้วพยายามออกกำลังกายให้มากๆ บังเอิญว่ากำลังศึกษาระบำหน้าท้องเพื่อนำมาใช้ในการทำงาน จึงช่วยให้ได้บริหารร่างกายบ่อยๆ ไปด้วยในตัว"
แปดเดือนผ่านไป คุณออกัสสามารถกำจัดน้ำหนักทิ้งได้ถึงยี่สิบกิโลกรัม ซึ่งเป็นผลพลอยได้จากการระบำหน้าท้อง หุ่นจึงกลับมาฟิตแอนด์เฟิร์มดีเกินคาด
"ดิฉันได้ฝึกบริหารกล้ามเนื้อเกือบทุกส่วนเป็นประจำ วันละหลายชั่วโมง โดยเฉพาะช่วงหน้าท้อง เอว สะโพก แขน และไหล่ ที่ชอบมีไขมันพอกพูน ซึ่งช่วยให้หน้าท้องหายไป เอวลดลง สะโพก ต้นขา และท้องแขนกระชับขึ้น ไม่มีเนื้อส่วนเกินมากเท่าเดิม
"ประโยชน์อื่นๆ ที่ได้กับตัวเองโดยตรงอีก เช่น ร่างกายยืดหยุ่น กระฉับกระเฉง น้ำหนักลดโดยที่ผิวไม่แตกลาย และอาการปวดประจำเดือนที่เคยเป็นลดลง" เธอเล่า
ผลสำเร็จจากการยกกระชับรูปร่างของคุณออกัส สร้างแรงบันดาลใจให้คนรอบข้างที่ต้องการลดน้ำหนัก หลายคนจึงขอให้เธอช่วยสอนระบำหน้าท้อง เพราะอยากนำไปใช้ออกกำลังกายเหลาหุ่นแบบเธอบ้าง
ระบำเขย่าไขมัน
ตอนนี้เสียงจังหวะคึกคักดังขึ้นจากเครื่องเล่นเพลง คุณออกัสเริ่มต้นสาธิตวิธีบริหารระบำหน้าท้องด้วยท่วงท่าพลิ้วไหว พลางเอ่ยให้พวกเราทำตามไปด้วย ซึ่งทำให้รู้ว่า เป็นการบริหารที่ช่วยให้ได้ใช้แรงกำลังมากพอสมควร
ดังที่งานวิจัยศึกษาพบว่า ระบำหน้าท้องช่วยเผาผลาญพลังงานได้มากกว่าชั่วโมงละ 300 แคลอรี หรือเทียบเท่ากับการเดิน ปั่นจักรยาน และว่ายน้ำ ส่วนสมาคม American Council on Exercise ประเทศสหรัฐอเมริกา ระบุข้อดีว่า ช่วยสร้างความยืดหยุ่น ทำให้ร่างกายทำงานสอดประสานกัน เสริมความแข็งแรงให้กล้ามเนื้อแขน ขา หน้าท้อง และหลัง
ประโยชน์ต่างๆ เหล่านี้ สร้างขึ้นได้โดยไม่ต้องอาศัยท่าเต้นบริหารที่ยากมากนัก ก่อนอื่นคุณออกัสแนะนำจากประสบการณ์ตรงว่า
"ในแต่ละท่าเต้น พยายามเคลื่อนไหวร่างกายแบบแยกส่วนไปตามอวัยวะที่ต้องใช้ในท่านั้นๆ เช่น ท้อง เอว สะโพก ไหล่ แขน เพื่อช่วยบริหารเฉพาะจุดอย่างเต็มที่
"ตอนเริ่มฝึกอาจยังแบ่งส่วนร่างกายไม่ถนัด ดิฉันค่อยๆ เคลื่อนไหวกล้ามเนื้ออวัยวะส่วนนั้นช้าๆ ก่อน แล้วหมั่นทำบ่อยๆ จากนั้นดิฉันจึงฝึกท่าพื้นฐานเป็นลำดับแรกค่ะ"
Basic Belly Dance
"เริ่มจาก ท่าเตรียม ให้ยืนตรง เท้าชิดกัน ทิ้งอกไปด้านหน้าเล็กน้อย เก็บสะโพก แล้วยืดหลังตรง การยืนให้ถูกเป็นสิ่งจำเป็น เพราะช่วยให้เคลื่อนไหวร่างกายไม่ผิดท่า ท่ายืนลักษณะนี้ยังสามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน จะช่วยเสริมบุคลิกให้ดีขึ้น"
ท่าพุงเข้า-พุงออก vs. ลดหน้าท้อง
"ยืนท่าเตรียม กางแขนออกเล็กน้อย แขม่วหน้าท้องให้ได้มากที่สุด แล้วปล่อยหน้าท้องออก แต่มีข้อแม้ว่า ห้ามยกอกตามไปด้วย นับเป็น 1 ครั้ง ทำ 50 ครั้ง เริ่มจากช้าไปเร็ว 
"ท่านี้ช่วยให้ดิฉันได้เคลื่อนไหวกล้ามเนื้อหน้าท้องเข้าและออกอย่างต่อเนื่อง จึงกระชับพุง กลับมาใส่กางเกงยีนส์ได้โดยไม่มีเนื้อส่วนเกินปลิ้นออกมา"
ท่าอัพแอนด์ดาวน์ฮิพส์ vs. เอวคอด
"ยืนท่าเตรียม งอเข่าเล็กน้อย เพื่อช่วยป้องกันไม่ให้น้ำหนักตัวกระแทกหัวเข่าโดยตรง แตะจมูกเท้าซ้ายกับพื้น เขย่งปลายเท้าขึ้น กางแขนในระดับเหนือเอว จากนั้นโยกสะโพกซ้ายขึ้นและลง นับเป็น 1 ครั้ง ทำ 50 ครั้ง เริ่มจากช้าไปเร็ว แล้วสลับทำด้านขวา
"หลังจากทำท่านี้บ่อยๆ เอวของดิฉันลดลงสี่นิ้ว จาก 31 เหลือ 27 นิ้ว ดีใจมาก แนะนำให้ ลองสังเกตตัวเองหน้ากระจกก่อน ดูว่าเอวข้างใดหนาเป็นพิเศษ แล้วบริหารด้านนั้นให้มากขึ้น" 
ท่าฮิพสวิสต์ vs. เพิ่มส่วนโค้งเว้า
"ยืนท่าเตรียม แตะจมูกเท้าซ้ายกับพื้น เขย่งปลายเท้าขึ้น กางแขนออกกว้างๆ บิดสะโพกซ้ายเฉียงขึ้นไปทางขวา แล้ววางสะโพกลง นับเป็น 1 ครั้ง ทำ 30 ครั้ง แล้วสลับทำด้านขวา
"การบิดโค้งสะโพกช่วยบริหารกล้ามเนื้อข้างลำตัว ช่วยให้มีทรวดทรงมากขึ้น จากที่เคยตัวตันๆ เหมือนถัง เพื่อนๆ ก็ทักว่ามีส่วนเว้าส่วนโค้งแล้วนะ แรกๆ ที่ทำท่านี้อาจมีปวดสีข้างบ้าง แต่ควรทำอย่างต่อเนื่อง ร่างกายจะปรับสภาพได้เอง"
ท่าสเน็กอาร์มส์ vs. กระชับแขน
"เป็นท่าบริหารแขนที่คล้ายกับเวลางูเลื้อย ทำโดยยืนท่าเตรียม วางแขนแนบลำตัว ค่อยๆ ยกหัวไหล่ ศอก และข้อมือข้างซ้ายขึ้นตามลำดับให้ต่อเนื่องกัน และสูงในระดับศีรษะ จากนั้นค่อยๆ วางข้อมือ ศอก และหัวไหล่ลง กลับสู่ท่าเตรียม นับเป็น 1 ครั้ง ทำ 20 ครั้ง แล้วสลับทำข้างขวา
"เคล็ดลับอยู่ที่ให้พยายามเคลื่อนไหว โดยใช้กล้ามเนื้อท้องแขนเป็นหลัก ท่านี้ช่วยให้ดิฉันลดไขมันส่วนเกินบริเวณท้องแขน ทำให้แขนไม่ใหญ่จนใส่เสื้อผ้าไม่สวย และเมื่อยกแขนขึ้นแล้วไม่มีเนื้อห้อยย้อย"
(ล้อมกรอบ) ชีวจิตมือโปร
นอกจากบริหารระบำหน้าท้องในช่วงออกกำลังกายประจำวันแล้ว คุณออกัสยังบอกว่า 
"เราสามารถระบำหน้าท้องทำได้ทุกที่ทุกเวลา อย่างขณะแปรงฟันทุกเช้า ดิฉันมักบริหารด้วยท่าที่ใช้กล้ามเนื้อหน้าท้อง เช่น ท่าพุงเข้า-พุงออก ไปเรื่อยๆ 
"หรือเวลาออกไปทำธุระนอกบ้าน ก็จะสวมเสื้อผ้าตัวหลวมๆ หน่อย แล้วระหว่างอยู่บนรถไฟฟ้า หรือรอจ่ายเงินตรงแคชเชียร์ ก็บริหารท่านี้ไปด้วย เพื่อใช้เวลารอให้เป็นประโยชน์ค่ะ"
รู้ก่อนระบำหน้าท้อง
ใครที่เครื่องเริ่มสตาร์ทติด อยากลองลุกขึ้นมาบริหารดูบ้าง ขอให้อดใจไว้ก่อน แล้วอ่านเกร็ดเล็กน้อยที่คุณออกัสฝากเพิ่มเติม เพื่อนำไปเตรียมตัวให้เหมาะสมก่อนฝึกระบำหน้าท้องค่ะ
"การบริหารระบำหน้าท้องมีหลากหลายท่า ซึ่งสามารถประยุกต์ให้เข้ากับการเต้นอื่นๆ ได้อีก เช่น ฮิปฮอป แจ๊สแดนซ์ ตามความถนัดของแต่ละคน
"เสียงเพลงเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ เพราะช่วยให้จังหวะการเคลื่อนไหวร่างกาย โดยเฉพาะคนที่เพิ่งเริ่มหัดใหม่ๆ อยากให้ลองใช้เพลงประกอบสไตล์อาหรับ ซึ่งมีจังหวะสนุกสนาน รับกับการเคลื่อนไหวกล้ามเนื้อตอนระบำ
"เริ่มแรกควรใช้เพลงจังหวะเร็วปานกลาง เพราะเพลงช้าต้องใช้ท่าที่มีรายละเอียดมาก จะยังทำยากอยู่ แต่ถ้าใช้เพลงเร็วเกินไป ก็มักทำให้ฝึกแต่ละท่าไม่ละเอียด เป็นการรีบๆ เต้นมากกว่า และอาจเหนื่อยง่าย
"สำหรับเครื่องแต่งกาย ควรสวมใส่เสื้อผ้าสบายๆ ไม่รัดแน่นมากเกินไป ให้สามารถเคลื่อนไหวกล้ามเนื้อเต็มที่ โดยเฉพาะท่าที่ต้องเน้นการเคลื่อนไหวหน้าท้อง"
เมื่อถามถึงข้อควรระวัง คุณออกัสเตือนว่า "ควรงดกินอาหารประมาณหนึ่งถึงหนึ่งชั่วโมงครึ่งก่อนเต้น ป้องกันไม่ให้รู้สึกพะอืดพะอม หรืออยากอาเจียน เนื่องจากท่าเต้นส่วนใหญ่ใช้การบริหารส่วนท้อง" "พยายามไม่เปิดแอร์ หรือพัดลมระหว่างเต้น จะช่วยให้ร่างกายขับเหงื่อออกมาได้มาก ส่วนช่วงพักเหนื่อยให้จิบน้ำเพียงเล็กน้อย อย่าดื่มปริมาณมาก จะทำให้จุกท้องเวลาเต้นต่อค่ะ"
แม้หุ่นกลับมาสวยเช้ง หากยังควรออกกำลังกายต่อ รวมถึงมีสติในการกินอาหารอยู่เสมอ เพื่อไม่ให้โรคอ้วนครองเมืองสำเร็จค่ะ
Did you know?
ระบำหน้าท้อง (belly dance) เป็นวัฒนธรรมการเต้นรำที่สืบทอดมาหลายพันปี ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในประเทศอินเดีย และแถบตะวันออกกลาง มีวัตถุประสงค์เพื่อบูชาธรรมชาติและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ อีกทั้งขอให้ผู้หญิงคลอดลูกง่ายขึ้น 
ท่าเต้นโดยหลักเน้นการเคลื่อนไหวกล้ามเนื้อท้อง และสะโพก ซึ่งแบ่งออกเป็น การเคลื่อนสะโพก การเคลื่อนม้วนหน้าท้อง การเคลื่อนกระดูกเป็นวงกลม และการเคลื่อนแขน ไหล่ และศีรษะ

3 steps พุงยุบใน 2 weeks


ศรีสุดากินอาหารตามใจปากจนน้ำหนักเพิ่มขึ้นหลายกิโลกรัม ซ้ำร้ายพุงยื่นล้ำจนเพื่อนทักว่าเหมือนมีห่วงยางอยู่รอบเอว เธอกลุ้มใจ เพราะอยากเสกพุงกะทิให้หาย แต่ไม่รู้ควรเริ่มต้นอย่างไรจึงจะปลอดภัย และได้รูปร่างสมส่วนกลับคืนมา หากใครประสบปัญหาเดียวกัน มีวิธีกระชับหน้าท้องใน 2 สัปดาห์อย่างได้ผลจากเครือข่ายคนไทยไร้พุงมาบอกค่ะ

Step1 นอนหงาย ชันเข่าขึ้นโดยให้เท้าราบกับพื้น วางมือทั้งสองข้างทับกันบริเวณหน้าท้อง
Step2 ยกไหล่ขึ้นให้สูงจากพื้นประมาณ 15 เซนติเมตร ค้างท่าไว้ นับ 1 - 10
Step3 กลับสู่ท่าเดิม ทำซ้ำอย่างน้อย 30-50 ครั้ง

Tip: เพื่อให้ได้ประโยชน์ แนะนำให้บริหาร อย่างน้อยวันละ 150 ครั้ง แบ่งทำจำนวนครั้งตามสะดวก เตือนตัวเองด้วยว่า ไม่ตามใจปาก และเลือกอาหารที่มีไฟเบอร์สูง เพื่อสู้ไขมันตัวร้ายค่ะ

Friday, September 21, 2012

8 ข้อควรหลีกเลี่ยง สำหรับงานแรกในชีวิตคุณ


vv
งานแรก คือจุดเริ่มต้นของประสบการณ์ทำงาน เพื่อจุดเริ่มต้นที่ดี นี่คือสิ่งที่คุณไม่ควรทำ....

           1. ขาดความอดทน เมื่อเริ่มงานแล้ว อย่าเพิ่งรีบถามถึงผลตอบรับของงาน เมื่อคุณเริ่มสร้างผลงานได้เป็นรูปเป็นร่าง ค่อยถามฟีดแบ็กจากเจ้านาย
      
           2. อดทนเกินไป อย่ามัวแต่อดทนรอให้เพื่อนร่วมงานต้องเป็นฝ่ายเข้ามาแนะนำตัวกับคุณก่อนเลย
      
           3. ใช้เทคโนโลยีในทางที่ผิด เหลือบดูเพื่อนร่วมงานคนอื่นๆ ด้วยว่าเขาเล่นเฟซบุ๊กหรือแอบแชตบีบีในระหว่างประชุมหรือเปล่า แต่ละบริษัทย่อมไม่เหมือนกัน เข้าเมืองตาหลิ่ว ต้องหลิ่วตาตามหน่อยก็ดี เพราะบางที่เขาซีเรียสกับเรื่องนี้นะ
      
           4. ทำลายความประทับใจครั้งแรก การวางตัวให้เจ้านายและเพื่อนร่วมงานประทับใจก็มีความสำคัญ การงานคุณอาจสะดุด หากคุณทำให้พวกเขาไม่ปลื้มตั้งแต่แรกพบ
      
           5. ไม่ปรึกษาเจ้านายเรื่องเป้าหมาย คุณ ควรหาคำตอบไว้ว่าเจ้านายต้องการให้คุณทำอะไรได้สำเร็จบ้างในช่วง 90 วันแรกของการทำงาน เพื่อให้รู้ว่าคุณต้องทำอย่างไรจึงผ่านช่วงโปรฯ ไปได้
      
           6. ไม่เข้าใจเจ้านาย เจ้านายคุณอาจมีแนวทางการสื่อสารที่ต่างไปจากคุณก็ได้ สิ่งสำคัญคือเลือกปฏิบัติในสิ่งที่จะทำให้เจ้านายของคุณพอใจ
      
           7. ฉายเดี่ยว นอกจากเจ้านายของคุณแล้ว เพื่อให้ผลงานออกมาดี คุณควรมองหาผู้ให้คำแนะนำคนอื่นๆ ด้วย
      
           8. ไม่ปลื้มกับงาน คิดซะว่าคุณทำเพื่อหาประสบการณ์ ไม่ใช่ว่าคุณจะต้องทำงานนี้ไปตลอดชีวิตนี่

8 ความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับความงาม


ข้อปฏิบัติเพื่อความงามที่ทำเป็นกิจวัตรทำให้คุณดูแย่ลงแทนที่จะดูดีขึ้นหรือเปล่า? มาดู 8 ความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับความงามที่คุณอาจทำผิดจนเป็นนิสัย
1. ชโลมครีมนวดผมตั้งแต่โคนจรดปลาย : โดยปกติเวลาสระผมเรามักจะชโลมครีมนวดผมตั้งแต่โคนจรดปลายเหมือนเวลาใช้แชมพูสระผม แต่แท้จริงแล้วบริเวณโคนผมจะแข็งแรง เนื่องจากเพิ่งงอกใหม่ ส่วนปลายผมต่างหากที่ต้องการการดูแล เพราะงอกออกมานานแล้ว และเป็นส่วนที่ได้รับความเสียหาย การชโลมครีมนวดผมตั้งแต่โคนผมจะทำให้ผมมันและดูลีบแบน ทางที่ดีควรชโลมครีมนวดผมบริเวณหูลงไปจรดปลายผม ซึ่งวิธีนี้จะทำให้ผมมีน้ำหนักและไม่มันง่าย จึงไม่ต้องสระผมบ่อย
2. ลงรองพื้นทันทีหลังทาครีมบำรุงผิว: ความชุ่มชื้นในมอยเจอไรเซอร์จะทำให้แต่งหน้าติดไม่ทน ถ้าไม่รอให้มอยเจอไรเซอร์ซึมลงสู่ผิวเสียก่อน ดังนั้นหลังทาครีมบำรุงผิวแล้วควรรอประมาณ 60 วินาทีก่อนลงรองพื้น หรือหากไม่มีเวลาก็ให้ใช้กระดาษทิชชูซับหน้าเบาๆ แล้วจึงลงรองพื้น
3.ฉีดน้ำหอมหลังสวมเสื้อผ้าเสร็จแล้ว : น้ำหอมอาจทำให้ผ้าเป็นรอยด่างดวง และเส้นใยผ้าก็อาจทำให้น้ำหอมมีกลิ่นแปลกออกไป เพราะน้ำหอมถูกผลิตขึ้นมาเพื่อใช้กับผิวหนัง ความร้อนของร่างกายจะส่งผลให้น้ำหอมส่งกลิ่นหอมรวยรินตลอดทั้งวัน จึงควรฉีดหรือแต้มน้ำหอมบนร่างกายก่อนแต่งตัวบริเวณจุดชีพจร เช่นข้อพับหัวเข่า ซอกคอ หลังใบหูและข้อมือ ที่สำคัญไม่ต้องถูข้อมือทั้งสองข้างเข้าด้วยกันหลังจากฉีดน้ำหอมเสร็จ เพราะจะเป็นการทำลายโครงสร้างโมเลกุลของน้ำหอม 
4.ถอนขนคิ้วใกล้ๆ กระจก : การจ้องมองอะไรใกล้ๆ จะทำให้เราไม่เห็นภาพรวมของสิ่งๆ นั้น ซึ่งเมื่อใช้วิธีนี้ถอนขนคิ้ว จึงมีโอกาสสูงที่คิ้วทั้งสองข้างจะไม่เท่ากัน หรือถอนจนคิ้วบางเกินไป ดังนั้นหากอยากให้คิ้วสวยเป็นรูปทรง ขณะถอนควรส่องกระจกใหญ่ๆ ที่วางใกล้หน้าต่าง คอยถอยออกมาจากกระจกเพื่อดูรูปทรงของคิ้วอยู่เสมอ และควรถอนขนคิ้วให้มีรูปทรงและขนาดที่เข้ากับใบหน้าเพื่อความสมดุลและเป็นธรรมชาติ
5.ไม่ดูแลลำคอ : เมื่อทาครีมบำรุงผิวหน้า อย่าหยุดแค่ที่คาง เพราะผิวหนังบริเวณลำคอบอบบางกว่าผิวบริเวณหน้าเสียอีก ดังนั้นจึงเกิดริ้วรอยง่าย ทางที่ดีควรดูแลผิวที่ลำคอให้เหมือนกับใบหน้า หากทาครีมกันแดดก็เลื่อนมือลงมาบริเวณลำคอด้วย โดยไม่จำเป็นต้องใช้ครีมสำหรับทาคอโดยเฉพาะ ยกเว้นถ้าครีมที่ใช้มีส่วนผสมของกรดอัลฟ่า ไฮดร็อกซี่หรือเรตินอล ให้ลองทดสอบก่อนว่าจะไม่ทำให้เกิดอาการแพ้บริเวณลำคอ
6.ทามอยเจอไรเซอร์รอบดวงตาเพื่อลดอาการบวม : ความชุ่มชื้นในครีมจะเพิ่มน้ำให้ผิว ดังนั้นการทามอยเจอไรเซอร์อาจทำให้รอบดวงตาบวมยิ่งกว่าเดิม ถ้ารอบดวงตาบวมแต่ไม่แดงหรือระคายเคืองให้ใช้น้ำแข็งประคบเป็นเวลา 10-15 นาที หรือใช้อายเจลที่มีส่วนผสมของคาเฟอีน แต่ถ้ารอบดวงตาบวมแดงและคัน สันนิษฐานได้ว่าเกิดจากการแพ้อะไรสักอย่าง
7.อาบน้ำและสระผมจนกว่าจะรู้สึกสะอาดมากๆ : การขัดถูร่างกายหรืออาบน้ำนานจนเกินไป อาจทำให้รู้สึกสะอาดและสดชื่นก็จริง แต่ก็จะเป็นการทำลายน้ำมันตามธรรมชาติที่จะช่วยปกป้องผิวและทำให้ผิวชุ่มชื้นด้วย ถ้าใช้ผลิตภัณฑ์อาบน้ำพวกใยขัดตัวหรือแชมพูยาก็ยิ่งมีโอกาสที่จะทำลายน้ำมันบนผิวมาก ข้อแนะนำคือไม่ควรอาบน้ำนานกว่า 10 นาที และใช้เวลาน้อยกว่านั้นถ้าอาบน้ำอุ่น  
8.ประโคมยารักษาสิวเต็มที่ : ถ้าสิวผุดขึ้นมาบนใบหน้า ไม่ว่าเม็ดเล็กหรือใหญ่ สิ่งที่คนทั่วไปมักจะทำคือ โปะยารักษาสิวให้มากและบ่อยเข้าไว้ โดยหวังว่าสิวเม็ดนั้นจะยุบลงโดยเร็ว แท้จริงแล้วยารักษาสิวมีกรดซึ่งจะค่อยๆ ซึมลงสู่ผิวโดยใช้เวลาเป็นชั่วโมงกว่าจะซึมลงหมด การทายามากเกินไปจึงอาจทำให้สิวปะทุมากขึ้น และเกิดอาการแพ้ ผิวหนังแห้ง และระคายเคือง ดังนั้นต้องปฏิบัติตามวิธีใช้อย่างเคร่งครัด โดยส่วนใหญ่จะให้ทาแค่วันละหนึ่ง หรือสองครั้งเพื่อป้องกันผิวแห้ง

5 พฤติกรรม ทำลายผิวโดยไม่รู้ตัว


สาวๆพอเริ่มขึ้น เลข 3 ก็เริ่มมักมีอาการกังวล แต่หารู้ไมว่า... "เลข"ไหนๆ ก็อาจทำลายความสวยของเราได้แบบไม่ทันตั้งตัว!!!!บางครั้งสิ่งที่ทำเป็นประจำจนเกิดความเคยชิน แต่ใครจะคิดละ...ว่านั่นจะเป็นต้นเหตุทำลายความงามของเรา เลิกซะกับ 5 พฤติกรรมที่ทำลายความสวยแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว
- บีบสิว จะทำให้เกิดแผลได้ง่าย และเป็นการทำร้ายผิวอย่างรุนแรง ต้องใช้เวลาในการรักษาอีกทั้งเสี่ยงต่อการอักเสบ ควรรอให้สิวยุบเอง หรือหายามาแต้มจะดีกว่าค่ะ
- ขยี้ตา ทำให้เกิดริ้วรอยรอบดวงตาได้ง่าย เพราะผิวบริเวณดังกล่าวเป็นผิวที่บอบบางที่สุด การขยี้ตาจะเป็นการทำลายความยืดหยุ่นของผิวเร็วกว่าปกติ
- เกาแรงๆ การเกาสามารถทำลายผิวสวยๆ และเสี่ยงกับการเป็นแผลเป็น รอยด่างดำ และรอยเส้นเลือดฝอยแตก ดังนั้นเวลาคันเราควรที่จะทายาแก้คัน หรืออาบน้ำเย็น
- กัดเล็บ นอกจากจะเสียบุคลิกแล้วยังทำให้เชื้อโรคในเล็บ เข้าสู่ร่างกายได้ง่ายแล้วก็เชื้อโรคในน้ำลายก็ไปสะสมในเล็บ
- เลียปาก การเลียปากจะทำให้ปากแห้ง แตกเป็นขุย และเมื่อน้ำลายแห้งที่ริมฝีปาก จะดูดกลืนแสงแดดได้มากกว่าปกติอีกด้วย ทำให้คนที่ชอบเลียปากมีริมฝีปากที่คล้ำดำค่ะ
...แล้วเพื่อนๆยังคงเผลอทำพฤติกรรมเหล่านี้อยู่บ่อยๆ กันรึป่าว...? ถ้าเช่นนั้นก็รีบเลิกทำซะ...เพราะมันจะเป็นตัวทำให้เพื่อนๆหมดความสวยก่อนวัยอันควร

เคล็ดลับ ดูแลรองเท้า ช่วงหน้าฝน


ช่วงนี้ฝนตกบ่อยเหลือเกิน นอกจากจะทำให้เราต้องเผชิญกับสภาวะรถติดแล้ว วันไหนแย่ๆ อาจจะต้องเผชิญกับการวิ่งท่ามกลางสายฝน เพื่อหนีฝนอีกด้วย นอกจากจะเปียกมอมแมมแล้ว ที่น่าเจ็บใจกว่านั้นมันอยู่ตรงที่รองเท้าสุดเลิฟ ต้องเปียกน้ำไปด้วยเนี่ยซิ อยากจะกรี๊ดเพราะรองเท้าที่ใส่มาเป็นหนังกลับนะซิคะ และเพื่อเป็นการป้องกัน เพราะเราไม่อยากให้รองเท้าของสาวๆ ต้องเจอกับเหตุการณ์แบบนี้ เอาเป็นว่าเรามารู้จักวิธีการป้องกันรองเท้าสุดรักของเราในช่วงที่ฝนตกแบบนี้ดีกว่าค่ะ
รองเท้าเปียกน้ำ
เริ่มจากรองเท้าของเรา ถ้าสมมติว่าเกิดเหตุฉุกเฉินรองเท้าเปียกน้ำโดยไม่ได้ตั้งใจ ควรใช้น้ำสะอาดล้างทำความสะอาดภายนอกก่อน ไม่ควรใช้สบู่หรือผงซักฟอกทำความสะอาด จากนั้นเช็ดด้วยผ้าแห้งสะอาด แล้วนำไปผึ่งลม ไม่ควรนำไปตากแดด และวางรองเท้าในมุม 45 องศา จนกว่าจะแห้งสนิท และไม่ควรนำมาสวมใส่ในขณะที่ยังแห้งไม่สนิท เพราะอาจจะทำให้รองเท้าเสียทรงได้


รองเท้าเปื้อนโคลน

ไม่ว่าจะเป็นรองเท้าแบบไหน เมื่อเปื้อนโคลนอย่าเพิ่งไปจับซักตอนนั้น ควรจะปล่อยทิ้งไว้ จนกระทั่งโคลนจับตัวเป็นก้อน แล้วใช้ไม้แข็ง ขูดลอกออกเบาๆ จากนั้นใช้ผ้าเปียกเช็ดตรงรอยที่เปื้อนซ้ำอีกครั้ง ผึ่งลมให้แห้งสนิท แล้วนำรองเท้าใส่ถุงใส่กล่อง เพื่อเป็นการรักษาคุณภาพของรองเท้า

* วิธีการรักษารองเท้าให้ถูกต้อง ตามประเภทของหนัง
อุปกรณ์สำคัญที่ควรมีติดไว้คือ สเปร์ยกันน้ำที่เหมาะสมกับวัสดุที่ทำรองเท้า ควรจะทำการฉีดก่อนที่จะสวมใส่ ถ้าเป็นไปได้ควรฉีดทิ้งไว้ในคืนก่อนที่จะทำการสวมใส่ จากนั้นเรามาดูวิธีการรักษาที่ถูกต้องกันดีกว่าคะ


รองเท้าหนังการทำความสะอาดจากพวกฝุ่นและรอยเปื้อนต่างๆ ควรทำความสะอาดโดยใช้กระดาษชุบน้ำ จากนั้นนำครีมขัดรองเท้ามาทางบางๆ


- รองเท้าหนังกลับ หรือ หนังกำมะหยี่ใช้แปรงพิเศษที่ใช้กับหนังประเภทนี้เท่านั้น ทำการแปรงสิ่งสกปรกออกจากรองเท้า และให้ใช้น้ำยาพิเศษที่ใช้ในการทำความสะอาด หลังทำสะอาดเรียบร้อยแล้วให้ใช้สเปรย์ไร้สี หรือ สเปรย์สีเดียวกับรองเท้าที่มีคุณสมบัติในการกันน้ำในการฉีดเพื่อทำการรักษา


รองเท้าหนังแก้ว
หนังประเภทนี้ถ้าดูแลไม่ดี หมดสวยทันทีเลยนะคะ วิธีการทำความสะอาดให้ใช้กระดาษชุบน้ำ แล้วทาครีมสำหรับรักษาหนังแก้วโดยเฉพาะ และพ่นสเปรย์เพื่อป้องกันหนังแห้งและการก่อตัวของรอยแตก

เตือนสาวๆ กับ 5 พฤติกรรมที่ไม่ควรทำ!!


สาวๆ ที่รักชอบความสวยงาม แต่ว่าขี้เกียจทำความสะอาด
คุณรู้หรือไม่ว่าส่งผลเสียอย่างร้ายแรงต่อสุขภาพความงาม

1. ไม่ล้างเครื่องสำอาง ปัญหานี้เรียกว่าเป็นเรื่องใหญ่ของผู้หญิงเราเลยนะคะ เพราะการที่สาว ๆ ไม่ยอมลุกไปล้างเครื่องสำอางออกให้หมดก่อนเข้านอนนั้น จะก่อให้เกิดการสะสมจนอุดตัน และกลายเป็นสิวในที่สุด

2. ขี้เกียจถอดคอนแทคเลนส์ 
นี่ก็เป็นสิ่งที่อันตรายมาก ๆ ในหมู่สาว ๆ ที่ชื่นชอบการเปลี่ยนสีตาด้วยคอนแทคเลนส์ เพราะการไม่ชอบถอดนั้น อาจทำให้ดวงตาของคุณเกิดการติดเชื้อ จนถึงขั้นตาบอดได้เลย

3. ไม่ยอมเคี้ยวอาหาร
สาว ๆ รู้เอาไว้เลยนะคะว่า การกระทำเช่นนี้จะทำให้กระเพาะอาหารทำงานหนักอย่างแรง อีกทั้งยังอาจจะส่งผลให้กระเพาะ รวมถึงลำไส้มีปัญหาได้ง่าย ๆ

4. ไม่เช็ดฝารองชักโครก
สาว ๆ อย่ามองข้ามจุดนี้นะคะ อย่าด่วนสรุปเด็ดขาดว่าห้องน้ำที่คุณกำลังจะเข้านั้นสะอาดเพียงใด เพราะฝารองชักโครกก็เป็นแหล่งสะสมเชื้อโรคอยู่ไม่น้อยทีเดียว ดังนั้นก่อนใช้ทุกครั้งควรเช็ดก่อนจะดีมากเลย

5. ขี้เกียจถือโทรศัพท์ อันนี้เป็นพฤติกรรมอันแสนโดดเด่นของคุณผู้หญิงเรา คุณเธอทั้งหลายจะใช้โดยการเอามาแนบระหว่างลำคอกับบ่า ซึ่งจะส่งผลทำให้กล้ามเนื้อบริเวณดังกล่าวเกร็ง ถ้าทำบ่อยจะส่งผลให้เกิดอาการปวดคอเรื้อรัง และเส้นประสาทกล้ามเนื้ออักเสบได้

รู้อย่างนี้กันแล้ว สาว ๆ ทั้งหลายอย่าลืมทำตามด้วยนะคะ เพราะการที่สาวๆ ละเลย หรือไม่สนใจเรื่องต่าง ๆ เหล่านี้ อาจส่งผลร้ายอย่างมหันต์ตามมาแล้วจะสายเกินแก้จะหาว่าไม่เตือน

20 เรื่องที่ผู้หญิงควรรู้ เกี่ยวกับช่องคลอด


20 เรื่องที่ผู้หญิงควรรู้ เกี่ยวกับช่องคลอด
ผู้หญิงกับการดูแลสุขภาพเป็นเรื่องคู่กัน ความรู้สึกสบายในจุดสงวนก็เป็นอีกเรื่องที่สำคัญ และผู้หญิงทุกคนควรใส่ใจและรู้จักดี... มี 20 ข้อเกี่ยวกับช่องคลอดที่ผู้หญิงควรรรู้มาฝากกัน ซึ่งเป็นเรื่องง่ายที่ทุกคนเจอกันเป็นประจำอยู่แล้ว...
        1. ร่างกายจะสร้างช่องคลอดขึ้นสี่เดือนก่อนหน้าคุณเกิด ทารกในครรภ์ทุกคนจะมีเนื้อเยื่ออวัยวะเพศ ซึ่งต่อมาจะพัฒนาขึ้นจนกลายเป็นอวัยวะเพศหญิง หรือเพศชาย เมื่อทารกในครรภ์มีอายุได้ 10 สัปดาห์ ถ้าหากว่าดีเอ็นเอ ระบุว่า เป็นทารกเพศชาย ร่างกายก็จะเริ่มสร้างองคชาตและลูกอัณฑะขึ้น “แต่ถ้าหากว่าเป็นทารกเพศหญิง ช่องคลอดก็จะเริ่มต้นเป็นรูปเป็นร่าง”
      
        2.  เยื่อพรหมจารีอาจไม่มีทุกคน ถ้าหากตอนมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรกคุณไม่มีเลือดออก เป็นไปได้ว่าเยื่อพรหมจารีของคุณอาจขาดตอนเล่นกีฬา หรือตอนสอดใส่แทมพอน หรือไม่อย่างนั้นก็อาจแปลว่าคุณเกิดมาโดยไม่มีเยื่อพรหมจารีก็เป็นได้ และที่แปลกยิ่งกว่านี้ ก็คือ ผู้หญิงบางคนอาจมีเยื่อพรหมจารีหนามากเสียจนกระทั่งต้องผ่าตัดเอาออก จึงจะสามารถมีเพศสัมพันธ์หรือสอดแทมพอน (ผ้าอนามัยชนิดสอด) ได้
      
       3. ช่วงหนึ่งนิ้วแรก คือ ช่วงที่มีความรู้สึกได้ไวที่สุด แม้ว่าช่วงสองนิ้วที่อยู่ลึกเข้าไปจะคือบริเวณที่สามารถรับความรู้สึกได้เข้มข้นที่สุด แต่บริเวณช่วงหนึ่งนิ้วแรกที่อยู่ตอนปลายของช่องคลอด จะรับความรู้สึกพึงพอใจได้ดีที่สุด "บริเวณนี้คือบริเวณอันเป็นที่รวมของปลายประสาท”      
       4. ช่องคลอด คือส่วนหนึ่งของอวัยวะสืบพันธุ์เท่านั้น ผู้หญิงจำนวนมากนึกว่าช่องคลอด หมายถึงอวัยวะสืบพันธุ์ทั้งหมด “แม้ว่าปุ่มคลิตอริส แคมนอก และท่อปัสสาวะ จะอยู่ห่างกันเพียงแค่ประมาณหนึ่งนิ้ว แต่ทั้งหมดคืออวัยวะคนละส่วนกัน” ถ้าเช่นนั้นช่องคลอดคืออะไรกันแน่ ช่องคลอดคืออวัยวะที่มีลักษณะเป็นท่อ เป็นกล้ามเนื้อ และมีความชุ่มชื้น จุดเริ่มต้นคือจากบริเวณแคมในยื่นลงมาในอุ้งเชิงกรานเป็นระยะประมาณสามนิ้ว ส่วนปลายที่อยู่ปากมดลูก (ช่องแคบๆ ที่นำไปสู่ท่อปัสสาวะ) หน้าที่ของช่องคลอดคือเพื่อให้ความสุขทางเพศ เป็นช่องทางที่เลือดประจำเดือนไหลออกและเป็นเส้นทางให้กำเนิดทารก
      
       5. บางคนอาจมีน้ำหล่อลื่นมาก แต่บางคนก็อาจมีน้อย เวลาที่คุณมีอารมณ์ทางเพศ ผนังช่องคลอดจะรู้สึกร้อนและมีน้ำหล่อลื่นไหลออกมา ผู้หญิงบางคนจะมีน้ำหล่อลื่นมากจนถึงกับเปียกแฉะ แต่บางคนก็เพียงรู้สึกชื้นๆเท่านั้น

      
       6. บริเวณช่องคลอดมีแบคทีเรียอยู่เป็นจำนวนมาก แบคทีเรียที่ว่า คือ แบคทีเรียที่มีประโยชน์ เพราะมันช่วยป้องกันไม่ให้ร่างกายติดเชื้อ มีแบคทีเรียประมาณ 15 ชนิดด้วยกันที่อาศัยอยู่ในช่องคลอด และช่วยทำให้ช่องคลอดมีสภาวะเป็นกรด ซึ่งจะทำให้แบคทีเรียที่เป็นอันตรายไม่สามารถเจริญเติบโตได้
      
       7. ปุ่มกระสันอยู่ลึกเข้าไปข้างใน ลึกเข้าไปในช่องคลอดประมาณหนึ่งนิ้ว คือจุดที่เรียกว่า “จีสปอต”      
       8. สองด้านของอวัยวะเพศอาจไม่เท่ากัน เหมือนๆ กับเต้านมซึ่งข้างหนึ่งอาจใหญ่กว่าอีกข้าง อวัยวะเพศก็เช่นกัน “ขนาดของคุณอาจไม่เท่ากัน แต่ขอให้รู้ว่าเรื่องนี้ปกติอย่างยิ่ง นอกจากนี้ ขนาดและรูปทรงของอวัยวะไม่มีผลต่อสุขภาพใดๆ ทั้งสิ้น”
      
       9. อาจใช้ศัลยกรรมตกแต่งอวัยวะได้ ศัลยกรรมตกแต่งอาจปรับแต่งขนาดของช่องคลอดให้เล็กลง กระชับขึ้น หรือตกแต่งขนาดของอวัยวะเพศให้ดูสมดุลขึ้นได้ ศัลยกรรมประเภทนี้เรียกว่า Labiaplasty แพทย์จะใช้มีดผ่าตัด หรือใช้เลเซอร์ตกแต่งขนาดของอวัยวะให้มีความสมดุล ด้วยเหตุที่ศัลยกรรมลักษณะนี้ คือ ศัลยกรรมเสริมสวย สูติ-นรีแพทย์จึงไม่แนะนำให้ทำ ส่วนศัลยกรรมอีกประเภทเรียกว่า Vaginoplasty ศัลยกรรมประเภทนี้จะช่วยตกแต่งช่องคลอดที่หลวม เพราะคลอดบุตรหลายคนให้แคบและกระชับขึ้น สูติ-นรีแพทย์ กล่าวว่า ศัลยกรรมประเภทหลังนี้เหมาะสำหรับคุณแม่ที่ช่องคลอดหลวมมาก และใช้เงินค่อนข้างสูง

      
       10. จำเป็นจะต้องได้รับอากาศบริสุทธิ์ เหมือนๆ กับส่วนอื่นของร่างกาย ช่องคลอดก็ต้องการอากาศบริสุทธิ์เช่นกัน “ถ้าหากว่านุ่งกางเกงยีนส์ที่คับเกินไป หรือชุดชั้นในที่ทำจากใยสังเคราะห์ อากาศจะถ่ายเทไม่ได้ เพราะฉะนั้นเหงื่อไคลตลอดจนมูกต่างๆ จะอบอยู่ ทำให้ติดเชื้อได้ง่าย”
       11. อาจคันได้ การที่ผิวหนังแห้ง หรือมีเหงื่อออก หรือการสวมใส่เสื้อผ้าที่คับเกินไป อาจทำให้เกิดอาการคันขึ้นได้ อย่างไรก็ตาม หากว่าอาการคันนั้นรุนแรงและคันอยู่นานเกินกว่าหนึ่งวัน หรือคันภายในช่องคลอด ก็เป็นไปได้ว่า อาจมีสาเหตุมาจากสิ่งอื่น เช่น การติดเชื้อรา หรือเชื้อโรคที่ติดต่อทางเพศสัมพันธ์
      
       12. ขนที่อวัยวะเพศมีเหตุผลรองรับ “ขนบริเวณอวัยวะเพศมีหน้าที่ป้องกันไม่ให้เกิดการเสียดสีขณะมีเพศสัมพันธ์” และมีหน้าที่ในการกรองฝุ่น ละออง ไม่ให้เข้าถึงอวัยวะเพศได้ง่ายๆ
      
       13. ร่างกายอาจสร้างมูกจากช่องคลอดได้ถึงวันละสองช้อนชาในช่วงที่ไข่ตก “ระดับฮอร์โมนในร่างกายจะเพิ่มสูงขึ้น เป็นสาเหตุให้มูกจากช่องคลอดมีปริมาณมากขึ้น อาจมากถึงวันละหนึ่งช้อนชา” มูกจากช่องคลอดนี้จะเริ่มต้นจากบริเวณคอมดลูก จากนั้นจะเคลื่อนลงมาตามช่องคลอด และจะกวาดเซลล์ที่ตายแล้วออกมาด้วย และนี่คือวิธีที่ช่องคลอดทำความสะอาดตัวเอง ช่วงเวลาอื่นๆ ที่เหลือของเดือนเมื่อไม่ได้อยู่ในช่วงไข่ตกมูกจากช่องคลอดจะมีปริมาณลดลง เหลือเพียงวันละประมาณครึ่งช้อนชาเท่านั้น

      
       14. จำเป็นต้องตรวจสภาพ ทุกๆ สามเดือนคุณควรใช้กระจกส่อง โดยแหวกอวัยวะออกแล้วตรวจดูว่ามีส่วนใดที่โตขึ้นผิดปกติ เจ็บผิดปกติ หรือมีสีผิดปกติบ้างหรือไม่ “แนวโน้มก็คือ คุณคงไม่เจออะไรที่ผิดปกติรุนแรง สิ่งที่เจออาจเป็นเหมือนสิวหรือผื่นที่เกิดเพราะมีดโกนขน” หากพบอะไรน่าสงสัยให้รีบไปพบนรีแพทย์ทันที
      
       15. การคลอดลูกทำให้ช่องคลอดขยายใหญ่ขึ้นถึงห้าเท่า ปกติแล้วช่องคลอดจะมีเส้นผ่าศูนย์กลางน้อยกว่าหนึ่งนิ้ว แต่เมื่อถึงเวลาคลอดลูก มันสามารถจะยืดออกไปได้ใหญ่กว่าเดิมจนเส้นผ่าศูนย์กลางอาจมีขนาดตั้งแต่ 4-5 นิ้ว ทั้งนี้ เพื่อให้มีขนาดใหญ่พอที่เด็กจะคลอดออกมาได้ แต่ไม่ต้องกลัว หลังคลอดประมาณหกสัปดาห์ ช่องคลอดก็จะหดตัวกลับ
       16. หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีกลิ่นหอม สบู่หรือผงซักฟอกที่มีกลิ่นหอม อาจทำให้ผิวเนื้อบริเวณช่องคลอดระคายเคืองได้ “หากผิวเนื้อบริเวณนั้นสัมผัสเข้ากับสารเคมีบางอย่าง มันอาจจะระคายเคืองและเกิดอาการคันขึ้นได้” เพราะฉะนั้นคุณจึงควรทำความสะอาดบริเวณปากช่องคลอดโดยใช้น้ำเปล่า ไม่ใช้สบู่ นอกจากนี้ ยังควรเลือกใช้แต่กระดาษชำระที่มีสีขาว ตลอดจนแทมพอนและผงซักฟอกที่ไม่มีกลิ่นหอมอีกด้วย
      
       17. ประจำเดือนไม่ได้ออกมากอย่างที่คุณคิด คุณอาจคิดว่าตอนประจำเดือนมาเดือนละครั้ง คุณเสียเลือดไปเป็นลิตร แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่ ในช่วงมีประจำเดือนแต่ละครั้ง คุณเสียเลือดไปเพียงแค่ประมาณสองสามช้อนโต๊ะเท่านั้น
      
       18. ผู้หญิงบางคนไม่มีช่องคลอด เด็กผู้หญิงที่เกิดมาทุก 4,000-5,000 คน จะมีหนึ่งคนที่เกิดมาโดยไม่มีช่องคลอด ซึ่งถ้าเป็นดังนั้นบ่อยครั้งก็จะไม่มีมดลูกด้วย โชคดีที่ผู้หญิงเหล่านี้สามารถใช้เครื่องถ่างหรือสามารถผ่าตัดสร้างช่องคลอดได้ เมื่อได้รับการผ่าตัดแล้ว ผู้หญิงเหล่านี้สามารถมีเพศสัมพันธ์ได้เหมือนกับผู้หญิงปกติ

      
       19. ออกกำลังเป็นผลดี การออกกำลังสามารถช่วยรักษาช่องคลอดมีสุขภาพดีได้ “การฝึกขมิบกล้ามเนื้อบริเวณช่องคลอดที่เรียกว่า Kegel Exercise จะช่วยให้กล้ามเนื้อบริเวณนั้นแข็งแรง กล้ามเนื้อส่วนนั้นคือกล้ามเนื้อที่ช่วยให้คุณกลั้นปัสสาวะหรือช่วยให้ถึงจุดไคลแม็กซ์” หากฝึกขมิบกล้ามเนื้อบ่อยๆ นานประมาณแค่สอง หรือสามเดือน คุณก็จะเห็นผล ช่องคลอดของคุณจะกระชับขึ้นและสามารถมีความสุขเพิ่มขึ้นในเวลามีเซ็กซ์
      
       20. การมีกลิ่นเป็นเรื่องปกติ ช่องคลอดที่มีสุขภาพเป็นปกติจะมีกลิ่นเล็กน้อย ทั้งนี้ กลิ่นจะเป็นแบบไหนขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น ขึ้นอยู่กับอาหารที่รับประทาน ขึ้นอยู่กับสารเคมีในร่างกาย หรือขึ้นอยู่กับว่าคุณอยู่ในช่วงไหนของรอบวงจรประจำเดือน ของบางสิ่งอาจทำให้กลิ่นในช่องคลอดแรงขึ้นได้ เช่น การมีเหงื่อออกเยอะๆ กระเทียม หน่อไม้ฝรั่ง กลิ่นน้ำอสุจิของผู้ชายเมื่อมาผสมกับสารคัดหลั่งจากร่างกายคุณ ก็อาจทำให้เกิดกลิ่นไม่พึงปรารถนาได้
      
       แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อเรารู้หลักและความรู้เกี่ยวกับช่องคลอดแล้ว ผู้หญิงทุกคนต้องคิดอยู่เสมอว่าการมีเพศสัมพันธ์ต้องมีเมื่อถึงวัยที่สมควรก่อน โดยเฉพาะเด็กและเยาวชนต้องรักตัวเองให้มากๆ ไม่ควรมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร เพราะถ้าหากว่าพลาดไปแล้วละก็ปัญหาต่างๆ ก็จะตามมามากมาย ทั้งท้องก่อนแต่ง ท้องเมื่อไม่พร้อม ติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ และที่สำคัญปัญหาดังกล่าวอาจะนำมาซึ่งปัญหาอาชฌากรรมได้ แล้วคนที่รักคุณที่สุดอย่างพ่อ แม่ ญาติพี่น้อง โดยเฉพาะตัวของคุณเองจะเสียใจกับการกระทำที่เกิดขึ้น เพราะมันไม่สามารถเรียกกลับคืนมาได้...
----------------------------------------------------------------------
ข้อมูลจาก : สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)

9 นิสัยเสีย ที่ดีต่อสุขภาพ


9 นิสัยเสีย แต่ว่าดีต่อสุขภาพ
บางครั้งการตัดสินว่าอะไรดี อะไรไม่ดี ก็ไม่อาจมองเพียงด้านเดียวได้ เช่นเดียวกับนิสัยและพฤติกรรมเหล่านี้ ที่หลายๆ คนมองว่าต้องเร่งแก้ไขโดยด่วน แต่หากคุณลองหันมามองอีกด้าน คุณจะพบว่า นิสัยแย่ๆ เหล่านี้ ดีต่อสุขภาพอย่างไม่น่าเชื่อ

 

1. ติดซอสมะเขือเทศ
เด็กหลายคนติดอกติดใจในรสชาติของซอสมะเขือเทศ ไม่ว่าจะกินอะไรก็เรียกหาซอสมะเขือเทศตลอดเวลา จนบางครั้งคุณแม่อาจกังวลว่ามันจะมากเกินไปหรือเปล่า ตอบได้อย่างมั่นใจค่ะว่า ไม่มากไปหรอก เพราะที่จริงแล้วการกินซอสมะเขือเทศมากๆ กลับเป็นสิ่งที่ดี เพราะจากผลวิจัยของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด พบว่าในซอสมะเขือเทศมีสาร Lycopene ซึ่งจัดเป็นแอนตี้ออกซิเดนต์ที่ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดมะเร็งต่อมลูกหมากและมะเร็งอื่นๆ อีกหลายชนิด

นอกจากนั้นมะเขือเทศยังเป็นแหล่งวิตามิน C ที่สำคัญซึ่งส่งผลโดยตรงต่อระดับภูมิคุ้มกันในร่างกาย อย่างไรก็ตาม ในซอสมะเขือเทศบางชนิดอาจมีปริมาณเกลือมากเกินไปจนเกิดอันตรายต่อร่ายกายได้เช่นกัน ดังนั้น ก่อนซื้อคุณควรอ่านฉลากให้ดี เพื่อให้แน่ใจว่ามีปริมาณเกลือในระดับที่เหมาะสม 

2. ชอบกินถั่วเป็นกับแกล้ม
แม้ว่าคุณจะเป็นแฟนพันธุ์แท้แอลกอฮอล์มากไปสักนิด หรือติดการกินถั่วเป็นกับแกล้มจนเป็นนิสัยมากไปสักหน่อย แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่า ‘มันไม่ดี’ การกินถั่วแกล้มกับไวน์สักแก้ว จัดเป็นพฤติกรรมการกินที่ดีต่อสุขภาพ เพราะในถั่วลิสงและถั่วชนิดอื่นๆ ประกอบไปด้วยสารเคมีธรรมชาติที่จะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจและโรคมะเร็งได้อย่างไม่น่าเชื่อ

จากการศึกษาของ Harvard School of Public Health ยังพบอีกว่า ผู้หญิงที่กินเนยถั่วประมาณ 5 ครั้งต่อสัปดาห์จะช่วยลดความเสี่ยงของโรคเบาหวานได้ประมาณ 30 เปอร์เซ็นต์ แม้บางคนอาจจะค้อนว่าในถั่วมีไขมันอยู่ไม่น้อยทีเดียว แล้วมันจะดีต่อสุขภาพจริงหรือ สบายใจได้ค่ะ เพราะไขมันที่อยู่ในถั่วกว่า 50 เปอร์เซนต์เป็นไขมันชนิดไม่อิ่มตัว ซึ่งดีต่อสุขภาพ แถมยังช่วยบรรเทาความหิวได้เป็นอย่างดี 

นักวิจัยกล่าวเสริมว่า ถั่วลิสงเป็นแหล่งวิตามิน B ที่เยี่ยมยอดมาก ซึ่งช่วยให้ร่างกายเผาผลาญพลังงานจากอาหารได้ดี แถมยังช่วยสร้างเซลล์ใหม่ให้แก่ร่างกายอีกด้วย

รูปสวย น่ารัก glitter emoticon www.yenta4.com 3. กินช็อกโกแลตบ่อยเกินไป
สาวๆ มักเกลียดกลัวช็อกโกเลตเพราะเชื่อว่าเป็นศัตรูของความงามและน้ำหนัก แต่หากมองอีกมุมหนึ่ง ปีศาจช็อกโกแลตของสาวๆ ก็มีดีอยู่บ้างเหมือนกัน แต่มีข้อแม้ว่าต้องเป็น ช็อกโกแลตดำ (Dark Chocolate)เท่านั้นนะคะ เพราะในช็อกโกแลตดำนั้นประกอบไปด้วยสาร Flavonoids ในปริมาณสูง พ่วงด้วยสารแอนตี้ออกซิแดนต์ชนิดเดียวกับที่พบใน ไวน์แดง ชา ผลไม้และผักบางชนิด จากผลวิจัยล่าสุดของมหาวิทยาลัย Glasgow สก็อตแลนด์ พบว่า flavonoids สามารถช่วยต่อต้านการก่อตัวของมะเร็งได้ 

แต่หากคุณเกลียดช็อกโกแลตดำเพราะรสชาติออกขมๆ ไม่อร่อยเอาเสียเลย ลองหันมากินช็อกโกแลตนมแทนก็ได้ แม้ในช็อกโกแลตนมจะมีสารแอนตี้ออกซิเดนต์น้อยกว่าช็อกโกแลตดำ แต่ก็มีปริมาณแคลเซียมสูงกว่าถึง 5 เท่า ดังนั้น ช็อกโกแลตนมจึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ดีสำหรับคนที่ต้องการเสริมความแข็งแรงของกระดูก 

และหากคุณรู้สึกดีมากๆ เวลากินช็อกโกแลตแล้วล่ะก็ ไม่ต้องแปลกใจ เพราะผลวิจัยหลายชิ้นพบว่า เวลาคนเรากินช็อกโกแลตนั้น สมองจะปล่อยสารเอนโดฟีน ซึ่งออกฤทธิ์เหมือนฝิ่นธรรมชาติ (ไม่เป็นอันตรายค่ะ) ซึ่งทำให้เราอารมณ์ดีและบรรเทาความเจ็บปวดได้
รูปสวย น่ารัก glitter emoticon www.yenta4.com
4. โกรธและวีนชาวบ้านบ่อยๆ
แม้ว่านิสัยเสียแบบนี้อาจทำให้คุณถูกเพื่อนๆ คว่ำบาตร แต่ถ้ามองในแง่ดี การโกรธกลับส่งผลดีต่อสุขภาพได้ เช่นกัน การโกรธเป็นอารมณ์ปกติของมนุษย์ทุกคน ไม่ว่าเราจะรู้สึกตัวหรือไม่ก็ตาม Harriet Lerner นักจิตวิทยา เจ้าของผลงานเขียน “The Dance of Anger” กล่าวไว้ว่า การโกรธเป็นสัญญาณของเราที่ชี้ให้เห็นว่าบางอย่างผิดปกติไป แต่การยอมรับและเข้าใจในอารมณ์โกรธของตัวเองเป็นสิ่งจำเป็น การหันไปเผชิญหน้ากับความโกรธอย่างเข้าใจ สามารถช่วยลดอาการบันดาลโทสะจนควบคุมสติไม่ได้ และป้องกันการเกิดภาวะที่เรียกว่า‘อกกลัดหนอง’(เจ็บปวดทางใจ) จนอาจนำไปสู่การเจ็บป่วยทางกายในภายหลังได้

แต่คุณไม่ถึงกับต้องปิดบ้านเงียบเพื่อจัดการกับความโกรธที่เกิดขึ้นหรอกค่ะ เพราะมันไม่เกิดประโยชน์อันใดแก่ร่างกายและจิตใจเลย ผลวิจัยจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด พบว่า ในทางตรงกันข้าม หากคุณแสดงความโกรธนั้นออกไปจะเป็นผลดีต่อสุขภาพอย่างมาก ช่วยป้องกันการเกิดโรคหัวใจได้ แถมนักวิจัยยังกล่าวเสริมอีกว่า ผู้ชายที่สามารถระบายความโกรธของตัวเองออกไปได้จะลดความเสี่ยงของโรคหัวใจได้มากกว่าครึ่ง เทียบกับผู้ชายวัยเดียวกันที่หาทางระบายความโกรธไม่ได้ และมักจะเก็บกดจนล้มป่วยในที่สุด

5. แอบงีบระหว่างวันทำงาน
การแอบงีบในที่ทำงานเป็นพฤติกรรมที่เจ้านายคุณเกลียดกลัวมากที่สุด และหากคุณแอบงีบไม่เนียนพอละก็ ตัวใครตัวมันค่ะ แม้ว่าการแอบงีบจะจัดเป็นพฤติกรรมของพนักงานขี้เกียจในสายตาเจ้านายไทย แต่การแอบงีบหลับระหว่างวันกลับเป็นพิธีกรรมที่น่ารักในเม็กซิโกและกรีซ ชาวโปรตุเกสก็ชอบงีบหลับเช่นกัน จนถึงกับมีการจัดตั้ง Association of Friends of the Siesta ซึ่งเป็นการรวมกลุ่มคนเพื่ออนุรักษ์วัฒนธรรมการงีบหลับในช่วงบ่ายให้คงอยู่ต่อไป

มีผลวิจัยมากมายหลายชิ้นที่กล่าวถึงประโยชน์ของการงีบหลับ เช่น คนที่งีบหลับในช่วงบ่ายจะลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจได้ถึง 30 เปอร์เซ็นต์ เทียบกับคนที่ไม่งีบหลับระหว่างวัน นอกจากนี้ ผู้เชี่ยวชาญในการนอนแนะนำว่ามนุษย์ทุกคนควรจะงีบประมาณ 30 นาทีหลังจากอาหารกลางวัน แต่ไม่ควรงีบในช่วงบ่ายแก่ๆ เพราะอาจทำให้คุณกลายเป็นมนุษย์ค้างคาว ไม่ยอมหลับยอมนอนในเวลากลางคืนได้

6. เครียดและกดดัน
รู้ไหมว่า ความเครียดเป็นแรงผลักดันให้เราทำบางสิ่งบางอย่าง หากปราศจากความเครียด มนุษย์จะไม่ลุกจากเตียง หรือกระตือรือร้นหาอาหารใส่ท้อง ความเครียดเป็นสิ่งที่ขับเคลื่อนเราให้บรรลุเป้าหมายและภารกิจต่างๆ หลายๆคนยอมรับว่า มักจะทำงานได้ดีภายใต้ความกดดันและความเครียด แต่ความเครียดและความกดดันนี้จะเกิดปัญหาก็ต่อเมื่อมันมากเกินไปและคุณไม่สามารถจัดการกับมันได้อย่างมีประสิทธิภาพ

หากมองในแง่ดี ความเครียดนั้นสามารถนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ได้ ใช้มันเป็นแรงผลักดันเวลาคุณต้องการเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆในชีวิตให้ดีขึ้น แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นคุณต้องมีแผนการเฉพาะกิจไว้จัดการกับความเครียดได้อย่างทันท่วงที ในเวลาที่รู้สึกว่ามันชักจะมากเกินไป เช่น มีเพื่อนสนิทไว้ปรึกษา การออกกำลังกาย การดูหนัง ฟังเพลง หรืออะไรก็ตามที่คุณคิดว่ามันช่วยคุณได้ ทำไปเถอะค่ะ!

7. เป็นสาวเจ้าน้ำตา
อย่าสนใจต่อเสียงล้อเลียนของเพื่อนร่วมงานว่าคุณเป็นสาวเจ้าน้ำตา เพราะการร้องไห้เป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยลดความเครียดจากร่างกายได้อย่างดี จากผลวิจัยของ Ramsey Dry Eye and Tear Research Center พบว่า เมื่อเราร้องไห้ ร่างกายจะขจัดฮอร์โมนความเครียดส่วนเกิน อาทิ ฮอร์โมนprolactin (ฮอร์โมนที่ผลิตโดยต่อมพิทุอิตารีด้านหน้า มีฤทธิ์กระตุ้นการหลั่งน้ำนมหลังจากการคลอดบุตร) ได้

นอกจากนี้น้ำตายังอาจช่วยให้ร่างกายกำจัดสารเคมีในร่างกายชนิดอื่นได้อีกหลายชนิด เช่น แมงกานีส ซึ่งอาจทำให้เกิดภาวะซึมเศร้า และ lysozymes เอนไซม์ที่เป็นสาเหตุทำให้เกิดแผลพุพอง

แต่มันคงไม่ดีนักหากคุณจะระเบิดสงครามน้ำตาในที่ทำงานทุกวี่วัน เพราะนั่นอาจสร้างความรำคาญให้คนอื่นๆ และทำให้เจ้านายมองว่าคุณมีปัญหาทางจิตได้ ดังนั้น วิธีที่ปลอดภัยที่สุดคือการร้องไห้ที่บ้าน และถ้ามีเพื่อนสนิทที่รู้ใจคอยปลอบอยู่ข้างๆ ได้ก็ยิ่งดี

8. เป็นสาวช่างเม้าท์
ผู้หญิงกับการเม้าท์เป็นสองสิ่งที่เกิดมาเพื่อกันและกัน เวลาที่เธอเจอกัน ทุกอย่างจะพรั่งพรูออกมาอย่างเป็นธรรมชาติชนิดที่ไม่ต้องเตรียมการล่วงหน้าว่าจะคุยเรื่องอะไร ฟังดูอาจดูน่ารำคาญในสายตาผู้ชาย แต่ถ้าผู้ชายลอง เม้าท์ ได้สัก เศษหนึ่งส่วนสามของผู้หญิง จะส่งผลดีต่อสุขภาพชนิดที่คุณคาดไม่ถึง

จากการศึกษาของ Social Issues Research Centre in Oxford พบว่า การพูดคุยนั้นเป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่ช่วยให้เราสามารถพัฒนาความสัมพันธ์ เรียนรู้ทักษะทางสังคม และแก้ปัญหาความขัดแย้ง ได้ บางองค์กรถึงกับมีการส่งเสริมการซุบซิบ พูดคุย ภายในองค์กรอย่างออกหน้าออกตา เพราะเชื่อว่าเป็นสิ่งที่ดีต่อธุรกิจเนื่องจากสามารถกระตุ้นให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ได้ และถือเป็นวิธีระดมพลังสมองที่ดีมากเช่นกัน

‘การคุยโม้’เป็นปฏิกิริยาทางสังคมโดยธรรมชาติที่ติดตัวมนุษย์มาตั้งแต่กำเนิด การคุยโม้ เป็นหนทางที่เปิดโอกาสให้เรารู้จักคนอื่นๆ ก่อนที่จะพัฒนาไปสู่ความสัมพันธ์ในรูปแบบ เพื่อนหรือคนรัก ต่อไป นอกจากนี้ การคุยโม้ ยังเป็นการกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งสารเอนโดฟิน ที่ช่วยทำให้อารมณ์ดีและจิตใจปลอดโปร่งอีกด้วย

9. ติดชาร์ทนักดื่มตัวยง
การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในบางครั้งก็เป็นสิ่งที่ดีสำหรับคุณ มีผลการศึกษามากมายที่ช่วยยืนยันเรื่องนี้ได้ อาทิ ผลการศึกษาโดย Joseph Fourier University of Grenoble ในฝรั่งเศส พบว่า ไวน์แดงสามารถลดความเสี่ยงในการเกิดหัวใจวาย และช่วยป้องกันมะเร็งต่อมลูกหมาก ลดโอกาสการเกิดเนื้องอกในลำไส้และ ป้องกันมะเร็งผิวหนังได้ และในปี 2003 ในวารสารทางการแพทย์ของอังกฤษ รายงานว่า นักดื่มที่ดื่มแอลกอฮอล์ในระดับปานกลางจะลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจได้ 30-35 เปอร์เซนต์ แต่การดื่มมากเกินไปก็อาจส่งผลเสียต่อบุคลิกและตับได้ แถมบางคนหากเผลอดื่มขณะท้องว่างก็เป็นการทำลายกระเพาะดีๆ นี่เอง